Mushroom Travel LINE
เราช่วยคุณได้
@mushroomtour
จันทร์ - เสาร์
9:00-22:00
อาทิตย์
9:00-18:00
Call Mushroom Travel
Call Center
02 105 6234
จอง 6 คนขึ้นไป
จอง 6 คนขึ้นไป
02 105 6244
Loading...

หนาวๆ เดือนกุมภาฯ ใช้ JR Pass เที่ยวดินแดนอาทิตย์อุทัย

โพสเมื่อ

01

ไปเที่ยวญี่ปุ่นกัน….เมื่อไหร่ดี? ใช้เงินเท่าไหร่? ไปไหนดี? เดินทางยังไง? เตรียมตัวอะไรบ้าง?
หลากหลายคำถามผุดขึ้นมาในหัว เมื่อมีคำชวนหลุดออกมา
แต่..ทุกคำถามย่อมมีคำตอบ ทุกการเดินทางย่อมมีจุดเริ่มต้น
ว่าแล้ว…เราก็ไปเที่ยวกันเถอะ !!

1440322970-Post001-o

     สำหรับการเดินทางของเราในครั้งนี้ นอกจากฉันแล้วก็ยังมีคุณแม่ คุณพี่ คุณน้อง และคุณแฟน รวมทั้งหมด 5 ชีวิตค่ะ ซึ่งจุดเริ่มต้นของการเดินทางก็คือโปรโมชั่นตั๋วเครื่องบินนั่นเอง สำหรับแผนการเดินทางก็คือ 11 วัน 10 คืน โดยตอนแรกเราวางแผนจะเที่ยวในละแวกโตเกียวและโอซาก้าเท่านั้น แต่เนื่องจากคุณแฟนอยากไปชมงาน Sapporo Snow Festival ดังนั้นเราจึงมีโอกาสได้ไปตะลุยแดนเหนือของญี่ปุ่นด้วย ทั้งนี้เราก็ได้นำรายละเอียดการเดินทาง และข้อมูลที่เรานำไปใช้จริงมาแบ่งปันให้ผู้ที่กำลังวางแผนจะเดินทางไปเที่ยวญี่ปุ่นได้รับทราบกัน โดยเริ่มจากการเตรียมตัวก่อนออกเดินทาง ซึ่งเราได้แบ่งออกเป็นทั้งหมด 6 ขั้นตอนดังนี้ค่ะ

1 2 3 4 5 7

 30 มกราคม 2015 – 31 มกราคม 2015 ออกเดินทางจากกรุงเทพฯ สู่โตเกียว

      8  เราออกเดินทางจากสนามบินดอนเมืองในช่วงดึกของวันที่ 30 มกราคม 2015 ด้วยสายการบิน Air Asia X และเดินทางถึงสนามบินนาริตะในเช้าวันที่ 31 มกราคม 2015 และทันทีที่ย่างเท้าก้าวออกจากเครื่องบิน อุณหภูมิที่หนาวเย็นเพียงแค่ 0 องศาก็เข้าจู่โจมพวกเราทั้ง 5 จนต้องจ้ำอ้าวเข้าห้องน้ำล้างหน้าแปรงฟันและเสริมอุปกรณ์กันหนาวอย่างเต็มที่ เราพร้อมจะลุยโตเกียวกันแล้ว

การแลกตั๋ว JR Pass+จองที่นั่งรถไฟ  N’EX จากนาริตะสู่โตเกียว

10     เริ่มจากการแลกตั๋ว JR PASS อย่างที่บอกในตอนแรกว่าเราซื้อตั๋วจากเมืองไทยและได้มาในรูปแบบของ Exchange Order ซึ่งยังไม่สามารถใช้งานได้ ต้องนำมาแลกเป็นบัตร JR Pass เมื่อถึงญี่ปุ่นเสียก่อน โดยนำพาสปอร์ตพร้อมกับใบ Exchange Order ไปยื่นให้กับเจ้าพนักงานสถานีที่ Service Center ของ JR ซึ่งเราตั้งใจจะใช้ JR Pass ตั้งแต่วันแรกอยู่แล้ว ดังนั้นเราเลยไม่พลาดที่จะเลือกนั่ง N’EX เข้าเมือง เมื่อได้ Pass เราก็จองที่นั่ง N’EX เมื่อจองเสร็จออกมาก็จะเจอทางเข้าสถานีเลยค่ะ ก็ยื่นตั๋วให้เจ้าหน้าที่ดูแล้วก็หาที่นั่งตามที่จองไว้ 11

สำหรับสถานที่แลก JR pass หรือการจองที่นั่งจะมีตามสถานีรถไฟใหญ่ค่ะ

จองที่นั่งของทั้งทริปสำหรับรถไฟขบวน JR
หลังจากนั่ง N’EX ไปลงสถานีโตเกียว แล้วไปต่อที่ UENO เพื่อเข้าที่พัก แต่ขอแวะจองที่นั่งรถไฟทั้งทริปเสียก่อน ซึ่งใช้เวลาจองนานพอสมควรเลยค่ะ ก็จะมีพิเศษๆ ประมาณนี้ค่ะ

1. Asahiyama Zoo Train รถไฟขบวนพิเศษเพื่อไปสวนสัตว์โดยเฉพาะ เคยเห็นจากรูปและรีวิว มันคือรถไฟที่น่ารักมาก อยากลองนั่งดูสักครั้ง แต่ปรากฏว่าวันที่จะไปมันไม่วิ่ง แต่ไม่เป็นไรค่ะ เราเตรียมแผนสำรองมาแล้ว

ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ >> http://www2.jrhokkaido.co.jp/global/english/travel/asahiyamazoo/

13

2. Hamanasu Train จาก sapporo ถึง Aomori ตอนแรกเราจะใช้รถไฟขบวนนี้เพื่อเป็นที่นอน เพราะสิทธิ์ของ JR สามารถจองที่นั่งในตู้นอนที่เรียกว่า Nobinobi Carpet Car ได้ ซึ่งมีแค่ 28 ที่เท่านั้น แล้วก็แน่นอนว่ามันเต็ม แต่เราก็โน้ตไปว่าถ้าตู้นอนเต็มขอเปลี่ยนเป็น Dream Car (ประมาณที่นั่งรถทัวร์ VIP) แต่พอไปขึ้นจริงๆ กลับกลายเป็นที่นั่งธรรมดาไปเสียอย่างนั้น ทั้งนี้ตั๋วที่ได้มาจะบอกว่าเราได้นั่งตู้ไหน ที่นั่งที่เท่าไหร่ วันเวลา และชื่อขบวนรถไฟค่ะ นอกจากนั้นยังมีเจ้าหน้าที่มาตรวจด้วยว่าเรานั่งตรงกับที่ที่จองเอาไว้หรือเปล่า

12

UENO TOKYO NEW IZU HOTEL

     หลังจากจองที่นั่งรถไฟเสร็จ เราก็เดินทางเข้าโรงแรมค่ะ โดยโรงแรมนี้อยู่ไม่ไกลจากสถานี Ueno มากนัก

14

     ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ขอพูดถึงสถานที่ละแวกนั้นเลยละกันเนอะ

15

  1. ตลาด Ameyoko เป็นแหล่งช้อปปิ้งค่ะ เท่าที่เดินก็เห็นมีทุกอย่างทั้งของกิน เสื้อผ้า รองเท้า พวกเราก็ช้อปปิ้งรองเท้ากันไป
  2. Sushi หน้าล้น (ตั้งชื่อให้เอง) หรือร้าน Miuramisaki Kou อยู่ใกล้ๆ กับ Ameyoko เลยค่ะ ร้านนี้เพื่อนแนะนำมา พนักงานมาถามเราว่ามากินครั้งแรกหรือเปล่า ก็บอกไปว่าใช่ เชฟก็ทำเมนูพิเศษให้พร้อมคำว่า “WELCOME” น่ารักมากเลย มื้อนี้กินกัน 4 คน ก็ตกคนละ 900 กว่าบาทค่ะ ถือว่าไม่แพงเลยเพราะสั่งเมนูพิเศษเยอะ
  3. Takeya หรือตึกม่วง อันนี้จะอยู่ห่างออกไปนิดหน่อยค่ะ เป็นแหล่งช้อปปิ้งแบบครบวงจร แต่ส่วนใหญ่จะเน้นไปที่ขนม

       1440341616-Post013-o

Asakusa (Sensoji Temple) ใครๆ ก็ไปกัน

19

 หลังจากเก็บของเข้าที่พักแล้ว เราก็ลุยต่อเลยค่ะ เป้าหมายแรกที่เราจะไปคือ Sensoji Temple แต่เนื่องจากไม่มีรถไฟสาย JR ผ่าน เราเลยต้องนั่ง Subway แทน เรานั่ง Tokyo Metro Ginza Line จาก UENO (G16) ไปลงที่ Asakusa (G19) จากนั้นไปทางออกที่ 3 หันหน้าออกถนน เดินไปทางขวา ตรงไปเพียงนิดเดียวก็จะเจอกับซุ้มประตูแรกแล้วค่ะ ส่วนขากลับก็ไปที่ Ueno อีกครั้ง เพราะวางแผนจะไปเดินเล่นที่ Ameyoko กัน

1427783319-Post014-o

Tokyo Tower ในตำนาน

21

เมื่อช้อปปิ้งกันสบายกระเป๋าแล้ว เราก็มุ่งหน้าไปที่ Tokyo Tower ซึ่งเราใช้ JR เลยลงที่ Hamamatsucho Station จากนั้นเราก็เดินไปอีก 1 กิโลเมตร แต่เพราะอากาศเย็นๆ เดินไปชมเมืองไปแป๊บเดียวก็ถึงแล้วค่ะ ออกจากสถานี North Exit เราก็เดินตรงอย่างเดียวเลยค่ะ เดี๋ยวเ ดียวก็ถึง (ขออนุญาตใช้รูปจาก Google Map นะคะ)

1427783364-Post016-o

1 กุมภาพันธ์ 2015 Yunessun ออนเซ็นสำหรับคนขี้อาย

     เริ่มต้นวันใหม่ เรารีบตื่นแต่เช้าเพื่อให้ทันตามแผน แล้วไปขึ้น Shinkansen ที่สถานีโตเกียวเพื่อไปลงที่ Odawara ระหว่างนั่งรถไฟจะสามารถมองเห็นวิวฟูจิซังด้วยค่ะ เป้าหมายของเราวันนี้อยู่ที่ Yunessun เมื่อมาถึง Odawara ให้ออกทาง East Exit เพื่อขึ้นรถบัสสาย H ที่ Bus Stop#3 ไปลงสถานี Yunessun-mae เมื่อไปถึง Bus Stop ก็จะเจอกับพนักงานก็บอกว่าเราจะไปที่ไหน แล้วเขาก็จะให้เราซื้อตั๋วได้เลย

22
เมื่อรสบัสพาเรามาถึง Yunessun ก็ขึ้นบันไดเลื่อนไปจนเจอเคาน์เตอร์ แล้วบอกว่าเราต้องการใช้บริการโซนไหน ซึ่งที่นี่จะแบ่งเป็น 2 โซนคือ Yunessun (ชุดว่ายน้ำ) และ Mori No Yu (เหมือนออนเซ็นทั่วไปของญี่ปุ่น) และแน่นอนค่ะเราเลือกใส่ชุดว่ายน้ำ ข้างในจะมีบ่อต่างๆ มากมาย ทั้งบ่อกาแฟ ชาเขียว สาเก แล้วก็มีสไลเดอร์ให้เล่นด้วย ทั้งเล่นทั้งแช่เพลินไปเลย โดยเขาจะให้สายรัดข้อมือมาค่ะ อันนี้ใช้สำหรับเปิดล็อกเกอร์ แล้วก็จ่ายค่าอาหารภายในออนเซ็นได้ด้วย สามารถใส่ไปแช่ออนเซ็นได้เลย เมื่อเราใช้บริการเสร็จเรียบร้อยก็ค่อยไปจ่ายเงินทีเดียว สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.yunessun.com/english/
      ขอเสริมอีกนิดค่ะ Yunessun นี้จะเป็นเส้นทางเดียวกับฮาโกเน่ ถ้าออกตอนเช้าๆ จะสามารถเก็บเส้นทางกินไข่ดำเอย ล่องเรือเอย จนถึงช่วงบ่ายแล้วค่อยไปต่อออนเซ็นก็ยังทันค่ะ แต่เนื่องจากเราเคยไปมาแล้ว ครั้งนี้เลยเลือกไปแค่ออนเซ็น

1427820012-Post019-o

DCIM100GOPROGOPR2358.

 หลังจากเล่นที่ออนเซ็นประมาณสามชั่วโมงครึ่งก็เดินทางกลับโตเกียว โดยตอนแรกแพลนว่าจะไปเดินเล่นที่ Odaiba ก่อน แต่สมาชิกเกิดเปลี่ยนใจอยากไปเดินเล่นที่ Shinjuku เรียกว่าทริปนี้เราเน้นเดินเล่นจริงๆ ค่ะ

2 กุมภาพันธ์ 2015 Hakodate เมืองน่ารัก

     วันนี้เราตื่นเช้าเหมือนเดิมค่ะ เพราะต้องขึ้น Shinkansen ไป Hakodate ซึ่ง Shinkansen จะไปสุดที่สถานี Shin-Aomori จากนั้นจึงต่อรถไฟเพื่อไป Hakodate แล้วที่นี่เองที่ทำให้เราก็ได้สัมผัสกับหิมะแรกของทริปนี้ พอไปถึง Hakodate เราก็มุ่งตรงไปโรงแรมกันเลย หลังจากเช็คอินเรียบร้อยเราก็เริ่มเที่ยวกันแล้วค่ะ แต่ก่อนอื่นเรามาดูการเดินทางภายในเมืองก่อนดีกว่า ซึ่งหลักๆ ที่เราใช้คือรถราง รถรางที่นี่มี 2 สาย คือสายที่ 2 และสายที่ 5 โดยจะวิ่งแยกกันตรงสถานี Jujigai แต่ถ้าใครคิดว่าตัวเองจะต้องขึ้นเกิน 2 เที่ยว แนะนำให้ซื้อ Day Pass ราคา 600 เยนค่ะ ซื้อที่รถได้เลยแต่ เนื่องจากเรามีเวลาแค่ครึ่งวัน ดังนั้นรอบนี้เราเลยเที่ยวแบบชมเมือง จึงเสียค่าใช้จ่ายแค่ค่ากิน ค่ารถราง แล้วก็ค่ากระเช้าขึ้น Hakodate Mount เท่านั้น

1427871420-Post021-o

      เราเริ่มต้นที่ย่าน Motomochi โดยนั่งรถรางสาย 5 จากแถวๆ โรงแรม Hakodate Ekimae ไปลงที่สถานี Suehirocho ซึ่งย่านนี้จะมีสไตล์คล้ายกับทางยุโรป จากนั้นจึงไป Red Brick Warehouse โดยเดินผ่านทาง Hachimansaka Slope เป็นจุดที่ผู้คนนิยมมาถ่ายรูปเพราะวิวสวย แต่ก่อนที่จะถึง Warehouse เราแวะกินเบอร์เกอร์ชื่อดังของเมืองนี้อย่าง “Chinese Chicken Burger ร้าน Lucky Pierrot” โดยเดินลง Slope จนสุดทางแล้วหันไปทางขวาก็เจอกับร้านแล้ว เป็นอารมณ์ร้านอาหารแบบ Fast Food หาโต๊ะนั่งแล้วสั่งอาหารที่เคาน์เตอร์ได้เลย

29

หลังจากอิ่มท้องเรียบร้อย เราก็เดินต่อไปยัง Red Brick Warehouse เพื่อเดินเล่นและ ช้อปปิ้งกัน เมื่อได้เวลาอันสมควร เราก็เดินต่อไปยังกระเช้าเพื่อขึ้นไปชมวิวบน Hakodate Mount ซึ่งค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 1,200 เยนต่อการขึ้น-ลงค่ะ แต่กลางคืนจะค่อนข้างหนาว ออกไปชมวิวแป๊บเดียวสุดท้ายเลยไปนั่งจิบกาแฟแทน ส่วนขากลับโรงแรมเราไปขึ้นรถรางที่สถานี Jujigai เพราะใกล้กว่า

30             31

32             36

39             40

3 กุมภาพันธ์ 2015 เล่นสกีที่ Sapporo

      เริ่มต้นวันใหม่เราตื่นเช้าอีกแล้วเพราะจะนั่งรถไฟไป Sapporo แล้วก็ไปเล่นสกีที่ KIRORO Resort เพราะว่าเดินทางไม่ไกลแล้วก็ไม่ยาก จาก Sapporo มีรถ Shuttle Bus ฟรีของโรงแรมตอนรอบเที่ยง เราใช้เวลาร่วมสามชั่วโมงกว่าก็มาถึงสถานี Sapporo จากนั้นจึงตรงดิ่งไปเช็คอินที่โรงแรม

Kiroro เล่นสกี ล้มยังไงก็ไม่เจ็บ

      ช่วงที่เราไปนั้นทางรีสอร์ทกำลังมีโปรโมชั่น “Kiroro Value” คือซื้อ 10,000 เยน จะได้ตั๋วเงินมา 12,500 เยนสำหรับใช้เล่นสกีและค่าอาหาร รายละเอียดการเดินทางไปโรงแรม + รอบรถ http://www.kiroro.co.jp/en/getting-here/
หลังจากเช็คอินแล้วเราก็กลับไปที่ JR เพื่อต่อรถไฟชมวิวทะเล โดยไปลงที่สถานี Otaru-Chikko เป็นทางที่ออกมาแล้วเห็นภูเขาค่ะ เดินลงไปรอ Shuttle Bus ซึ่งจะมาตรงเวลาไม่ได้จอดรอ

42

ทั้งนี้ Shuttle Bus จะจอดที่ Hotel Piano และ Mountain Hotel ที่เราจะไปเล่นสกี ซึ่งเราต้องลงที่ Mountain Hotel ค่ะ ขากลับก็ขึ้นรถที่หน้าโรงแรมได้เลย พอถึงที่หมายเราก็เช่าอุปกรณ์และเช่าชุด ที่สำคัญอย่าลืมหาผ้าพันคอหรือหน้ากากเอาไว้ปิดจมูกด้วยนะคะ เวลาเล่นจะได้ไม่แสบจมูก

44

อุปกรณ์ที่เราเช่าก็จะมีเสื้อ กางเกง รองเท้า แว่นตา และบอร์ดค่ะแต่ถ้าขึ้นกระเช้าก็ต้องเสียค่าลิฟต์ด้วยนะคะ สามารถเลือกได้ว่าจะเป็นชั่วโมงหรือเป็นวัน ก็จะได้ตั๋วมาไว้โชว์ให้เจ้าหน้าที่ดู หลังจากที่เราเปลี่ยนชุดแต่งตัวพร้อมแล้ว เราก็เริ่มต้นลองไถๆ ฝึกเบรกที่ลานข้างล่างก่อน ฝึกได้สักพักก็ไปขึ้นกระเช้า แต่ขอแนะนำว่าควรศึกษาก่อนว่ากระเช้าไหนเหมาะสำหรับเลเวลไหน เราเล่นจนได้เวลาสมควรแก่รอบรถ ก็เดินทางกลับโรงแรม

4 กุมภาพันธ์ 2015 Asahiyama Zoo ชมพาเหรดเพนกวิ้น

45

วันนี้เราจะไปสวนสัตว์กันค่ะ สวนสัตว์นี้มีชื่อว่า Asahiyama Zoo นั่ง JR ไปลงสถานี Asahikawa จากนั้นต่อรถบัสสาย 41, 42, 47 ที่ป้าย 6 หน้าทางออก JR ค่ารถบัสอยู่ที่ 440 เยน นั่งประมาณ 40 นาที สุดสายที่สวนสัตว์เลยไม่ต้องกลัวหลง ส่วนค่าเข้าสวนสัตว์ก็ 820 เยน

สำหรับจุดเด่นของสวนสัตว์แห่งนี้คือพาเหรดเพนกวิ้น ซึ่งจะมีสองรอบคือเวลา 11.30 น. และ 14.30 แต่มีกำหนดช่วงเวลาว่าเดือนไหนถึงเดือนไหนนะคะ จุดชมเพนกวิ้นจะอยู่แถวๆ หน้าสวนสัตว์ จะมีเจ้าหน้าที่มาจัดตำแหน่งให้ยืนเรียงต่อกันไปเรื่อยๆ แล้วก็มีเส้นขีดไว้ว่าห้ามยืนเกินเส้นนี้นะ ก่อนจะปล่อยเพนกวิ้นออกมาเดิน

48         49

50         54

Nanda Buffet กินกันให้พุงกาง

55

หลังจากเดินกันเพลินแล้ว เราก็ต้องหาอะไรลงท้องกันแล้วล่ะค่ะ ซึ่งเราก็ไม่พลาดที่จะกินบุฟเฟ่ต์ขาปูยักษ์ Nanda Buffet ใครบอกขี้เกียจแกะปูนี่ไม่ต้องห่วงเลย เพราะแกะง่ายมาก ที่นี่เขาจะมีถุงมือและใช้กรรไกรตัดเอา ก็จะได้เนื้อออกมาเป็นเส้นอย่างกะปูอัดยังไงยังงั้น แนะนำว่าควรจองไปก่อนค่ะ ตอนเราไปถึงประมาณ 18:30 กว่าจะได้กินก็ 20:00 แล้ว พิกัดและข้อมูลตามนี้เลย ส่วนราคาก็ตกอยู่ที่ 4,076 เยน ก็ประมาณ 1,100-1,200 บาทค่ะ

56          57

5 กุมภาพันธ์ 2015 Snow Festival 2015

วันนี้เราเลือกที่จะซื้อ subway 1D pass ในราคา 830 เยนค่ะ เพราะเราจะไปชม Chocolate Factory แล้วก็เดินเล่นงาน Snow Festival ซึ่งแต่ละสถานที่ JR ไม่ผ่านเลย

58

สำหรับการเดินทางไป Ishiya Chocolate Factory ไม่ยากเลยค่ะ เริ่มจาก Subway Sapporo (สถานี Sapporo เป็นจุดเชื่อมระหว่าง Subway และ JR) แล้วขึ้นรถไฟสาย Namboku หรือ Toho ไปลงที่ Odori จากนั้นต่อรถไฟสาย Tozai ไปลงที่สถานี Miyanosawa

59

เมื่อไปถึงสถานี Miyanosawa แล้วไปที่ทางออก Exit 2 เดินไปทางซ้ายแล้วก็เลี้ยวซ้ายเลยค่ะ เดินตรงไปเรื่อยๆ จนสุดทางซึ่งเป็นสามแยก หันขวาควับ! ก็จะเห็น Chocolate Factory แล้วค่ะ

60

ข้างในจะเป็นพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับช็อกโกแลต เมื่อซื้อตั๋วก็จะได้ Shiroi Koibito มากินเล่นชิ้นหนึ่ง ที่นี่มีไลน์การผลิตให้ชมด้วย เป็นระบบออโต้หมดเลย แล้วจะมีคนคอยคัดอันที่ไม่สวยออก ไป

Snow Festival 1 ปีมีหน

ก่อนออกเดินทาง ไม่ลืมที่จะเก็บข้อมูล 3 โซนที่ถูกจัดขึ้น จะมีก็แต่โซน Tsudome ที่ถูกจัดไกลออกไป

63

  1. Odori – ประกวดรูปปั้นหิมะ แกะสลักหิมะ จัดในสวน Odori ยาว 1.5 กม แนะนำให้เริ่มจากทางออก 27
  2. Susukino – เน้นแกะสลักน้ำแข็ง ออกทางออก 5
  3. Tsudome (ลงสถานี Sakae Machi) – มีกิจกรรมให้เล่น เช่นสไลเดอร์ ให้เล่นฟรี **เหมาะสำหรับพาเด็กไปเล่น

61        62

6 กุมภาพันธ์ 2015 Gobe เมืองท่า ชิงช้าโดดเด่น

     “ถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ช่าง” รถไฟยังคงวิ่ง พวกเราก็หลับๆ ตื่นๆ จนตีห้าเศษๆ “ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด” เสียงนาฬิกาปลุกก็ดังขึ้น เราตั้งนาฬิกาปลุกเผื่อเอาไว้ จะได้เตรียมตัวลงที่สถานี Aomori เพื่อต่อรถอีกขบวนไปยัง Shin-Aomori ใช่แล้ว! ขึ้นต้นด้วย Shin เราจะไปนั่ง Shinkansen กัน เย้ เย้! สบายแล้วเรา

     เรานั่ง Shinkansen ต่อไปอีก 3 ชั่วโมงเพื่อไปลงสถานี Tokyo แต่โตเกียวไม่ใช่จุดหมายปลายทาง เราต้องเปลี่ยนขบวนอีกครั้งเพื่อไปลงที่สถานี Shin-Osaka และแน่นอนขึ้นต้นด้วย Shin เรายังคงนั่ง Shinkansen แสนสบาย ที่ขึ้นทีไรเป็นหลับทู๊กที รถไฟขบวนนี้จอดที่สถานี Shin-Osaka แต่มันก็ยังไม่ถึงที่พักของเรา เพราะเราพักแถวๆ สถานี Namba ใกล้โซน Subway จะให้ต่อ JR ก็ดูเหมือนจะต้องไปอีก 2 ต่อ เราเลยจ่ายเงิน 280 เยน เพื่อนั่ง Subway ดีกว่า

 ที่พักที่สุดท้าย Hotel Misono 

65

การเดินทางอันแสนยาวนานสิ้นสุดลง ตอนนี้เราได้มาถึงสถานี Namba แล้ว เราไปที่ทางออก E5 แล้วเดินต่ออีกนิดหน่อย เพื่อเข้าโรงแรม โรงแรมนี้ค่อนข้างเก่า หลังจากอาบน้ำเรียบร้อยเราก็พร้อมที่จะออกเดินทางไปโกเบแล้ว แต่ก่อนจะไปโกเบ ขออธิบายเกี่ยวกับสถานี Namba สักหน่อย ที่นี่เป็นสถานีใหญ่ที่มีรถไฟฟ้าใต้ดินผ่านถึง 3 สาย แถมยังเดินไปยังสถานี JR ได้อีก จะเดินไปย่าน Dotonbori ก็ไม่ไกล แต่การขึ้น JR ยังค่อนข้างสับสนว่าต้องขึ้นรถไฟขบวนไหน ดังนั้นเราจึงงัดกลเม็ด 2 วิธีขึ้นมาใช้ คือ Search Hyperdia แล้วมองขบวนที่เวลาตรงกัน อีกกลเม็ดเด็ดสุดคือบอกสถานีกับเจ้าหน้าที่ เขาก็จะตอบกลับมาอย่างรวดเร็วว่าให้เราไปชานชาลาไหน

66

ไหนๆ ก็ไหน ขอพาดพิงถึงย่าน Dotonbori สักนิด ที่นี่เป็นทั้งย่านช้อปปิ้งและแหล่งรวมของกิน ที่ขาดไม่ได้คือต้องถ่ายรูปกับป้ายไฟกูลิ เดี๋ยวไม่รู้ว่าเราอยู่โอซาก้าแล้วนะ ที่นี่มีตึกช้อปปิ้งเปิด 24 ชั่วโมงตั้งเด่นเป็นสง่าเห็นชัดเจน นั่นก็คือตึก Donki นั่นเอง แต่เราไม่ได้เข้าไปช้อปหรอก เพราะเรามีเป้าหมายอยู่ที่ย่าน ‘Temma’ ทั้งนี้เราได้ลิ้มลองราเมงขึ้นชื่อทั้ง 2 ร้านที่นี่ค่ะ

  1. ”ราเมงมังกร” รสชาติจะเค็มนิดๆ ออกไปทางจืด หอมกลิ่นพริกไทย เท่าที่เห็นมี 2 สาขาบนถนนเส้นเดียวกัน การสั่งก็ไม่ยาก เลือกเมนูที่ตู้ มีธรรมดากับพิเศษหมู เมื่อจ่ายเงินหรือหยอดเหรียญแล้วก็จะได้ตั๋วมา จากนั้นก็ไปยื่นให้ทางเคาน์เตอร์ เขาก็จะให้เลขคิวมา ระหว่างนี้ก็จับจองที่นั่ง จะตักข้าวมากินด้วยก็ฟรี น้ำก็ฟรี มีกิมจิให้ตักกินเล่นด้วย ร้านหาไม่ยากค่ะ
  2. “ราเมงข้อสอบ” ชอบค่ะอร่อยดี มีระดับความเผ็ดให้เลือกด้วย ส่วนทำไมถึงเรียกราเมงข้อสอบ เพราะตอนรอคิวเขาจะแจกกระดาษให้เราเหมือนทำข้อสอบ แต่จริงๆ แล้วคือเลือก Option ของราเมง มันมากมันน้อย เผ็ดไหม เอาไข่เพิ่มไหม จากนั้นก็ไปกดที่ตู้เพื่อรับตั๋ว พนักงานก็จะพาไปที่โต๊ะ เมื่อนั่งที่โต๊ะเราก็ยื่นกระดาษให้ทางพนักงานเลย อึดใจเดียวราเมงร้อนๆ ก็ถูกเสิร์ฟ ซึ่งร้านนี้จะอยู่ข้างๆ ร้าน Donki ค่ะ

Gobe เมืองท่า ชิงช้าโดดเด่น

67

“แสงไฟยามเย็น ต้องเน้นเนื้อวัว “ นี่คำขวัญประจำเมืองที่ไม่มีใครกล่าวไว้ เพราะเราแต่งขึ้นเอง สำหรับการเดินทางไปโกเบนั้นไปได้หลายทางค่ะ แต่ถ้าใช้ JR ตัวเลือกก็จะลดลงมาเหลือแค่ 2 แต่ถ้าดูเงื่อนไขเพิ่มอีกนิดก็จะเหลือทางเดียว นั่นก็คือนั่ง JR Kobe Line เพราะถ้านั่ง Shinkansen ก็ต้องไปลงสถานี Shin-Kobe แล้วต้องต่อ Subway เพื่อไปยัง Line JR อีก เวลาที่ใช้ก็ต่างกันแค่ 7 นาที เมื่อเวลาเรามีไม่เยอะ เป้าหมายของเราจึงมีแค่สถานี Sannomiya เพื่อกินเนื้อโกเบ และสถานี Kobe เพื่อเดินเล่นแถว Harbor Land

เคยอ่านรีวิวเขาบอกว่าร้าน Steak Land รสชาติดี ราคาไม่แพง ยิ่งถ้าไปมื้อกลางวันจะราคาถูกเป็นพิเศษ แต่แน่นอนเราไปไม่ทันเลยจ่ายในราคาปกติ เมื่อไปถึงหน้าร้านก็จะมีพนักงานพาไปนั่งโต๊ะหน้าเตา พอเลือกเมนูเสร็จ พ่อครัวก็จะนำวัตถุดิบมาปรุงกันต่อหน้าต่อตา ส่วนใครใคร่กินเนื้อก็กินไป ซึ่งจากคำบอกเล่าของคุณแฟนหลังจากกินแล้วบอกว่า ‘ละลายในปากจริงๆ ด้วย อร่อยมากยกกำลัง 100’ ส่วนใครไม่ใคร่กินเนื้อก็จัดหอยเชลล์ตัวใหญ่เนื้อเด้งดึ๋งไป มื้อนี้หมดไป 8,819 เยนค่ะ (เนื้อ 1 หอยเชลล์ 1)

68        69

71         72

73

เมื่อหนังท้องตึงแต่หนังตาไม่หย่อน เราจึงนั่งรถไฟต่อไปยังสถานี Kobe เพื่อเดินเล่นที่ Harbor Land ก่อนไปก็เตรียมข้อมูลมาอย่างดิบดีว่ามีที่เดินเล่นอะไรบ้าง แต่ด้วยความที่ค่อนข้างดึกแล้วบวกกับความเหนื่อยล้าจากการเดินทางมาทั้งวัน อีกทั้งยังไม่อยากใช้แรงมากเพราะพรุ่งนี้เราจะจัดเต็มที่ Universal Japan เราจึงมุ่งตรงไปที่อ่าวเพื่อชมไฟข้างทาง ชมวิวทิวทัศน์ ชมชิงช้าสวรรค์ที่มีไฟหลายสี ชมเรือที่ล่องผ่านมา จากนั้นก็แวะจิบเครื่องดื่มร้อนๆ ก่อนเดินทางกลับที่พักในโอซาก้า

74         75

76        77

7 กุมภาพันธ์ 2015 Universal ตามหา Harry Potter

     วันนี้เราจะไปสวนสนุก Universal Japan กัน ซึ่งเราเตรียมพร้อมซื้อตั๋วเข้าโซนแฮร์รี่มาจากเมืองไทยเรียบร้อย เราเดินทางจากโรงแรมไปยังสถานี JR ประมาณ 1 กิโลเมตร เพื่อนั่งรถไฟไปยังสถานี Universal City
เมื่อไปถึงสรุปที่ได้เล่นคือเครื่องเล่นใน Express ที่ซื้อมา เพราะต่อคิวไม่ไหวคนเยอะจริงๆ สำหรับรายละเอียดเกี่ยวกับตั๋วเรามีพูดไปแล้วตอนเตรียมตัวก่อนไปนะคะ เลื่อนขึ้นไปดูได้ เราเน้นไปที่โซนแฮร์รี่ และของเล่นที่ชอบที่สุดก็เป็นของแฮร์รี่เช่นกัน ถึงแม้ว่าจะเจอเครื่องเล่นหยุดชะงักตอนเล่น แล้วเล่นเสร็จก็เกิดอาการวิงเวียนสุดๆ ก็เถอะ

DCIM100GOPROGOPR2439.         DCIM100GOPROGOPR2456.

DCIM100GOPROGOPR2471.         DCIM100GOPROGOPR2537.

     หลังจากเหน็ดเหนื่อยจากสวนสนุก เราก็กลับไปหาอะไรรองท้องย่าน Dotonbori ก่อนกลับโรงแรมค่ะ

8 กุมภาพันธ์ 2015 Shopping time @Temma

     วันสุดท้ายมาถึงอย่างรวดเร็ว วันนี้เราไม่มีแพลนอะไรนอกจากเดินเล่นและช้อปปิ้งย่าน Temma ค่ะ นั่งรถไฟไปลง JR Temma แล้วก็เริ่มช้อปปิ้งได้เลย เราเดินไปเดินมาเพื่อเปรียบเทียบราคาหลายๆ ร้าน บางร้านก็มี Free Tax ราคาก็จะยิ่งถูกลง

86        87

     หลังจากช้อปปิ้งเสร็จก็กลับโรงแรมเพื่อแพ็กและชั่งน้ำหนัก แล้วก็ทำการซื้อน้ำหนักเพิ่ม แล้วเราก็มุ่งตรงไปยังโซน D ของสถานีรถไฟ (Nankai) เพื่อนั่งรถไฟไปสนามบิน Kansai โดยเคาน์เตอร์นี้จะรับเฉพาะเงินสดเท่านั้น ราคา 1,130 เยน/คน พอถึงสนามบินก็ซื้อขนมเพิ่มนิดๆ หน่อยๆ และแล้วการเดินทางของเราก็จบลงเพียงเท่านี้ค่ะ หวังว่าจะมีประโยชน์กับทุกคนนะคะ ^_____^

งบประมาณทั้งหมด

      อันนี้เป็นงบไม่รวมช้อปปิ้งนะคะ บางส่วนก็ประมาณเอาเพราะลืมจด แต่รวมๆ แล้วก็ใช้ไป 49,194.77 บาท ถ้าไม่เล่นสกีแล้วก็ไม่เข้าสวนสนุกก็จะถูกลงไปอีก

ค่าเดินทาง รวมตั๋วเครื่องบิน        25666.63   บาท
ค่าที่พัก                                        8,440.27    บาท
ค่าอาหาร                                     7,641.10     บาท
ค่าเข้าชมและกิจกรรมต่างๆ        7,446.77     บาท

89 90 91