Mushroom Travel

ตามล่า ใบไม้เปลี่ยนสีที่ญี่ปุ่น ทริปเดียว 3 ฤดู

ครั้งนี้มัชรูมทราเวลได้รับเกียรติจาก Guest สุดพิเศษ ที่จะมาบอกเล่าประสบการณ์ไปชม ใบไม้เปลี่ยนสีที่ญี่ปุ่น แบบจัดเต็ม! จะสวยงามน่าเที่ยวขนาดไหน ตามไปชมกันค่ะ


ตามล่า ใบไม้เปลี่ยนสีที่ญี่ปุ่น ทริปเดียว 3 ฤดู

ในที่สุดทริปตามล่า ใบไม้เปลี่ยนสีที่ญี่ปุ่น ก็มาถึงสักที ทริปนี้เรียกว่าต้องลุ้นกันว่าจะได้ มาญี่ปุ่น ช่วงพีคไหม โรงแรมที่จองจะเต็มไหม อากาศจะไม่แปรปรวนใช่ไหม ฮ่าๆ และทุกอย่างก็ผ่านไปด้วยดีจนเกิดมาเป็นทริปนี้จนได้ ต้องขอบคุณสมาชิกทั้งหมด 6 คน ที่จองตั๋วข้ามปีและร่วมลุ้นไปด้วยกัน

ใบไม้เปลี่ยนสีที่ญี่ปุ่น หรือฤดูใบไม้ร่วงของประเทศญี่ปุ่นคือ ตั้งแต่เดือน ตุลาคม – ธันวาคม อุณหภูมิโดยเฉลี่ย 10-19 องศา อากาศกำลังเย็นสบายเหมือนเราอยู่ในห้องแอร์  ตั๋วเครื่องบินช่วงนี้จะค่อนข้างแพง โรงแรมที่อยู่ใกล้แหล่งท่องเที่ยวจะเต็มหรือไม่ก็ราคาแพง เพราะเทศกาลชมใบไม้เปลี่ยนสีไม่ได้เป็นที่นิยมสำหรับคนไทยหรือคนชาติอื่นๆ เพียงอย่างเดียว คนญี่ปุ่นซึ่งเป็นเจ้าบ้านเองก็นิยมมาเที่ยวเช่นกัน ถ้าเราพร้อมที่จะไปแย่งเจ้าบ้านเขาเที่ยวแล้วล่ะก็มาลุยกันเลยคร้าบ

แพลนทริป ใบไม้เปลี่ยนสีที่ญี่ปุ่น

วันที่ 1 บินไปลงสนามบินนาริตะ / นั่งชินคันเซ็นไปโอซาก้า / เดินเล่นย่านนัมบะ
วันที่ 2 อุทยานมิโนห์ / ปราสาทโอซาก้า / อควาเรียมไคยูคัง
วันที่ 3 รถไฟซากาโน่ / วัดเทนริวจิ / วัดโทฟุคุจิ / ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ
วันที่ 4 นั่งชินคันเซ็นไปคาวาคุจิโกะ / ฟูจิ คาวาคุจิโกะ
วันที่ 5 ขี่จักรยานรอบทะเลสาบคาวาคุจิโกะ / เมเปิ้ลคอริดอร์
วันที่ 6 เล่นหิมะคาวาคุจิโกะ / หนีหนาวไปโตเกียว / ถนนคนเดินนากาโน่
วันที่ 7 ภูเขาฟูจิ / ขึ้นกระเช้าชมฟูจิ / เจดีย์ชูเรโตะ / อุโมงค์ไฟสีน้ำเงิน ชิบุยะ
วันที่ 8 ช้อปปิ้ง โอไดบะ / บินกลับสนามบินดอนเมือง

สมาชิกทั้งหมดเดินทางมาถึงสนามบินดอนเมืองเวลา 21.30 น. และวันนี้วันศุกร์คนที่สนามบินจึงเยอะพอสมควร ผมรีบไปรับ Pocket wifi แล้วก็พากันไปเคาน์เตอร์โหลดกระเป๋า มีเรื่องระทึกนิดหน่อยกับกระเป๋าที่เปิดไม่ออก ทำให้เคลียร์น้ำหนักไม่ได้ ก็แก้ไขกันสักพักจนต้องใช้ความรุนแรงถึงเปิดได้ ฮ่าๆ จากนั้นก็ทำพิธีผ่าน ตม. โดยทุกอย่างผ่านไปได้เรียบร้อยดี

หลับไปสองตื่นแอร์เอเชียก็พาร่อนลงสู่สนามบินนาริตะ พวกผมทำพิธีผ่าน ตม. รับกระเป๋า และเดินไปยัง JR Office เพื่อขอออกบัตรโดยสาร JR Pass โดยบัตรนี้เป็นบัตรเบ่งที่จะใช้นั่งรถไฟของ JR ขบวนไหนก็ได้รวมไปถึงชินคันเซ็นตลอด 7 วัน

รถไฟด่วน Narita Express จากสนามบินนาริตะที่พาพวกผมเข้าเมืองโตเกียว

กว่าจะทำอะไรเสร็จก็ 9.00 น. พวกผมซื้ออาหารกล่องหรือเบนโตะแล้วขึ้นรถไฟ Narita Express จากสนามบินนาริตะไปยังสถานี Shinagawa ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง นั่งชมวิวทานอาหารเช้ากันบนรถไฟอย่างเอร็ดอร่อย แต่วิวข้างทางก็มีแต่เม็ดฝนที่กระหน่ำตกอย่างหนัก โชคดีอยู่บ้างที่ตลอดเวลาที่ฝนตกพวกผมใช้เวลาอยู่บนรถไฟตลอด

ตอนถึงสถานี Shinagawa มีเรื่องระทึกอีกแล้วเพราะมีสมาชิก 2 คนลงรถไฟไปก่อน แต่เพื่อนคนนึงดันปลดรหัสสายรัดที่คล้องกระเป๋าเดินทางไม่ได้ หมุนตามรหัสที่ตั้งไว้ก็เปิดไม่ออก รถไฟจอดแค่ 1 นาที ก็ปิดประตูทันที พวกผมก็ตกใจสิเพราะแยกกันเป็น 2 กลุ่มจนได้ แล้ว 2 คนที่ลงไปก็ไม่มี Pocket Wifi ด้วย สมาชิก 4 คนที่อยู่บนรถรวมทั้งผมก็ช่วยกันปลดรหัสที่คาดว่าจะเป็นไปได้จนสำเร็จ จากนั้นก็นั่งรถไฟย้อนกลับไปที่สถานี Shinagawa ส่วนสมาชิก 2 คนที่ลงไปก่อนหน้านี้ก็หา Free Wifi ติดต่อมายังกลุ่มผมได้ ถือว่าเอาตัวรอดกันเก่งทีเดียว แนะนำว่ากระเป๋าไม่ต้องล๊อคกับสายรัดเพราะเดี๋ยวจะเกิดปัญหาแบบพวกผม ฮ่าๆ

รถไฟชินคันเซ็น (Shinkansen)ข้าวกล่อง หรือเบนโตะ หน้าตาดูดีใช่ไหมล่ะครับ

ถึงหน้าจุดขายตั๋วรถไฟชินคันเซ็นก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง ยื่นบัตร JR Pass จอง 6 ที่นั่ง เดี๋ยวเราจะได้นั่งรถไฟชินคันเซ็นจากสถานี Shinagawa ไปยังสถานี Shin-Osaka ยิงยาว 3 ชั่วโมง ห้ามลืมซื้อข้าวกล่องมาด้วยนะครับ เพราะกว่าจะไปถึงโอซาก้าเดี๋ยวจะเป็นลม พวกผมมาถึง Shin-Osaka เวลา 14.30 น. ต่อรถไฟอีก 2 ขบวนมายังสถานี Imamiya เดินออกจากสถานีมาก็พบว่าที่นี่ฝนไม่ตกถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี จากนั้นก็เดินไปยังที่พักของเราที่จองจาก AirBNB ห้องพักกว้างมาก มี 3 ห้องนอน 1 ห้องรับแขก และ 1 ห้องน้ำ สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน

ห้องนอนใหญ่ ห้องนี้นอนกันแค่ 2 คนด้วยนะ ห้องรับแขก ใช้ทานข้าว และทำครัวได้ด้วย
ห้องแต่งตัวและซักผ้า ก่อนเข้าห้องน้ำ

เมื่อทุกคนได้ล้างหน้าล้างตา และเคลียร์กระเป๋าใบใหญ่ไว้ที่ห้องเรียบร้อย ก็พร้อมไปลุยยามค่ำคืนที่คลองโดทงบอริพร้อมกับหามื้อเย็นทานกัน พวกผมตั้งพิกัดไปที่ร้านซูชิซันไม นี่แหละคือมื้อเย็นของพวกเรา

ร้านซูชิซันไม ที่นัมบะ

ชุดเซ็ตซูชิ 1,280 เยน

ซูชิชุดนี้ ได้มาฟรีคนละ 1 ชิ้น เพราะ add เป็นเพื่อนทาง Line ของร้านอาหาร

ซูชิที่นี่สดและอร่อยมาก ที่ประทับใจอีกอย่างคือ ทางร้านมีโปรโมชั่นสำหรับลูกค้าที่ add เป็นเพื่อนทาง Line ของร้านอาหาร ทำให้ได้ซูชิมาทานฟรีกันคนละ 1 ชิ้น หลังจากอิ่มอร่อยกันเรียบร้อย ก็มีแรงเดินถ่ายรูปเล่นต่อ ป่ะ.. เราไปเยี่ยมคุณลุงกูลิโกะกันดีกว่า

โดทงบอริ (Dotonbori)

คลองโดทงบอริสวัสดีคุณลุงกูลิโกะร้านปู นัมบะ

หลังจากเดินถ่ายรูปเล่นจนจุใจพวกผมก็กลับที่พัก เก็บแรงไว้สำหรับเที่ยววันพรุ่งนี้ ระหว่างทางกลับนี่แวะกันตลอดโดยเฉพาะร้านแฟมิลี่มาร์ทซึ่งมีสาขาเยอะมาก ของตามชั้นวางที่เราไม่เคยเห็นก็มีให้เลือกเยอะแยะไปหมด พวกผมเลยได้ข้าวกล่องสำหรับมื้อเช้ามาด้วยเลย


ตื่นเช้ามาก็ทยอยไปอาบน้ำ บางคนก็ช่วยกันเตรียมอาหาร มื้อเช้าวันนี้เป็นข้าวกล่องที่อร่อยมากแถมหน้าตาดีซะด้วย ทานกันเกลี้ยงไม่เหลือเลยจริงๆ เอาล่ะ… เราจะไปตามล่าใบไม้เปลี่ยนสีกันที่อุทยานมิโนห์ ปราสาทโอซาก้า และปิดท้ายด้วยการไปชมอควาเรียมไคยูคังกันครับ

ใบไม้เปลี่ยนสีที่ 1 – อุทยานมิโนห์ (Minoh Park)

อุทยานมิโนห์ เป็นอุทยานที่ติดอันดับสถานที่ชมใบไม้เปลี่ยนสีที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาคคันไซ เรียกว่าไม่ธรรมดา และการเดินทางมาที่นี่ก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน เพราะผมต้องขึ้นรถไฟ JR แล้วมาต่อรถไฟสาย Hankyu ไปยังสถานี Minoo จากนั้นต้องเดินขึ้นเขาต่ออีก 3 กิโลเมตร ตามเส้นทางชมธรรมชาติไปสุดที่น้ำตกมิโนห์ โดยระหว่างทางเดินเราจะได้ชมใบไม้เปลี่ยนสีกันเต็มที่เลยทีเดียว เอาล่ะ.. มาชมกันดีกว่าครับ

น้ำตกน้อยกับใบไม้เปลี่ยนสี อุทยานมิโนห์ใบไม้เปลี่ยนสี อุทยานมิโนห์ใบเมเปิ้ล 9 แฉก อุทยานมิโนห์ใบไม้เปลี่ยนสี อุทยานมิโนห์ใบไม้เปลี่ยนสีกับสะพานแดง อุทยานมิโนห์น้ำตกมิโนห์ อุทยานมิโนห์ใบไม้เปลี่ยนสีที่ปราสาทโอซาก้า (Osaka Castle)

ใครก็ตามที่มาเมืองโอซาก้าต้องไม่พลาดมาชมปราสาทโอซาก้า เพราะที่นี่ถือเป็นไฮไลท์สำคัญประจำเมืองเลยนะครับ การเดินทางก็ไม่ยากสามารถนั่ง Osaka Loop Line ไปลงสถานี Osakajokoen ก็ถึงแล้ว ตัวปราสาทมีทั้งหมด 8 ชั้น มีคูน้ำและกำแพงหินล้อมรอบ ภายในมีสวนนิชิโนมารุซึ่งปลูกต้นแปะก๊วยและเมเปิ้ลอยู่พอสมควร มาชมกันดีกว่าครับ

ใบแปะก๊วยเปลี่ยนเป็นสีเหลืองเข้มทั้งต้น ปราสาทโอซาก้าต้นนี้ก็สวยมาก อยู่ติดกับคูน้ำเลย ปราสาทโอซาก้าใบเมเปิ้ลก็แดงสดยิ่งนัก ปราสาทโอซาก้าเด็กๆ มาร้องเพลงประสานเสียงให้ฟัง ปราสาทโอซาก้า

มีร้านขายอาหารด้วยนะครับ ปราสาทโอซาก้า
พิพิธภัณฑ์ไคยูคัง ตอนกลางคืน

พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำไคยูคัง เป็นพิพิธภัณฑ์ขนาดใหญ่ มีทั้งหมด 8 ชั้น มีสัตว์น้ำให้ชมมากถึง 580 ชนิด หรือ 30,000 กว่าตัว พระเอกของที่นี่คือฉลามวาฬขนาดใหญ่ที่แหวกว่ายอยู่ในแทงค์น้ำขนาดยักษ์ที่จุน้ำได้ถึง 5,400 ตัน มีความลึก 9 เมตร พวกผมใช้เวลาอยู่ที่นี่เกือบ 2 ชั่วโมงเลยทีเดียว

อุโมงค์ปลาที่ทางเข้า อควาเรียมไคยูคัง

ฉลามวาฬ ตัวใหญ่มากๆ พระเอกของที่นี่ อควาเรียมไคยูคังแมงกระพรุน พริ้วไหวสวยงาม อควาเรียมไคยูคังปูแมงมุมญี่ปุ่น ตัวใหญ่มาก อควาเรียมไคยูคังฝูงนกเพนกวิน อควาเรียมไคยูคัง

ออกมาจากอควาเรียมก็ปาเข้าไป 19.00 น. แล้ว พวกผมพุ่งเป้าไปที่ร้านบุฟเฟ่ต์เนื้อย่าง แต่ระทึกอีกแล้วเพราะเดินหาร้านตามพิกัดที่ตั้งไว้ไม่เจอ หิวก็หิว ฮ่าๆ จนในที่สุดก็มาเจอร้านนึง ไม่ใช่บุฟเฟ่ต์แต่ก็ตัดสินใจเข้าไปเลยไม่ต้องคิดอะไรล่ะ หิวจนไส้จะขาดแล้ว

ร้านเนื้อย่าง ที่ช่วยชีวิตพวกผมไว้จากความหิว

เมื่ออิ่มท้องเรียบร้อยก็มีแรงพยุงตัวกลับที่พักกันแล้ว ระหว่างทางก็ไม่ลืมที่จะซื้ออาหารกล่องของแฟมิลี่มาร์ทกลับไปเป็นมื้อเช้าด้วย รู้สึกว่าทุกคนจะติดใจกับความอร่อยและความง่ายของอาหารเช้าแบบนี้ไปซะแล้ว

วันนี้เราจะไปเที่ยวเมืองเกียวโตกันครับ เมืองนี้เต็มไปด้วยสถาปัตยกรรม ศิลปวัฒนธรรมเก่าแก่ที่สำคัญมากมาย แต่ที่น่าทึ่งก็คือความทันสมัยหรือสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ นั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าเมืองอื่นเลย ทุกอย่างถูกนำมาผสมผสานกันอย่างลงตัวจนเป็นเมืองท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ที่ทุกคนต้องมาเยือนสักครั้งนึง

แพลนวันนี้ของเราก็คือไปนั่งรถไฟซากาโน่ แวะศาลเจ้าโนโนมิยะ เดินเล่นป่าไผ่ ชมใบไม้เปลี่ยนสีวัดเทนริวจิ ใบไม้เปลี่ยนสีวัดโทฟุคุจิ แล้วไปจบที่ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ พวกผมทานอาหารเช้ากันเรียบร้อยก็ออกเดินทางจากสถานี Osaka ไปยังสถานี Kyoto ใช้เวลา 30 นาที แล้วต่อรถไฟไปลงสถานี Umahori ซึ่งเป็นสถานีปลายทางของรถไฟซากาโน่ คาดเดากันว่าที่นี่คนจะน้อยกว่าสถานีต้นทาง แต่คิดผิดมหันต์เพราะคนเยอะมาก กว่าผมจะได้ตั๋วมาก็เป็นรอบ 11.35 น. เอาล่ะสิ นี่เพิ่งจะ 8.00 น. เอง ส่วนใครที่คิดจะมาซื้อตั๋วที่ต้นทางบอกเลยว่าเลวร้ายกว่าปลายทางมากๆ พวกผมเลยปรับแผนโดยการนั่งรถไฟ JR ย้อนไปลงสถานี Saga-Arashiyama เพื่อไปศาลเจ้าโนโนมิยะและไปชมป่าไผ่กันก่อน ตามมากันเลยครับ

ศาลเจ้าโนโนมิยะ (Nonomiya Shrine)

เป็นศาลเจ้าที่ผู้คนหลั่งไหลกันเข้ามาขอพรเรื่องความรัก เนื่องด้วยวรรณกรรมอันเลื่องชื่อ “เกนจิโมโนตาการิ” ซึ่งถือเป็นนิยายเรื่องแรกของโลกมีการเขียนถึงศาลเจ้าแห่งนี้จนเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง พวกผมไม่รอช้าเข้าไหว้ขอพรและเลือกซื้อเครื่องรางความรักกันด้วยครับ

 ศาลเจ้าโนโนมิยะ 

ต่อจากศาลเจ้าเราก็จะไปเดินป่าไผ่กันต่อ แต่เดินเข้าไปได้นิดเดียวไม่ทันจะได้เจอป่าไผ่สวยๆ ก็ต้องรีบกลับออกมาเพราะต้องเผื่อเวลาไปขึ้นรถไฟซากาโน่กันที่สถานี Kameoka Torokko หรือสถานี JR Umahori ฮ่าๆ ดูวุ่นวายจริงๆ แต่เราก็ต้องเดินหน้าต่อไป… ลุย

ใบไม้เปลี่ยนสีที่ 3 – รถไฟซากาโน่ (Sagano Train)

รถไฟชมวิวซากาโน่ หรือรถไฟสายโรแมนติก เป็นรถไฟท่องเที่ยวที่จะลัดเลาะไปยังริมผาเลียบตามแม่น้ำ นักท่องเที่ยวจะได้ชมวิวธรรมชาติสองข้างทาง และยังสามารถชมใบไม้เปลี่ยนสีที่ขึ้นเรียงรายได้อีกด้วย โดยพวกผมเลือกนั่งแค่เที่ยวเดียว แล้วว่าจะลงไปชมป่าไผ่ต่อ แต่คนมันเยอะมากๆ จึงต้องขอบายป่าไผ่ไปอย่างน่าเสียดาย

หน้าตารถไฟซากาโน่ ที่จะพาพวกผมนั่งชมวิวธรรมชาติรวมไปถึงใบไม้เปลี่ยนสีชมใบไม้เปลี่ยนสี บนรถไฟซากาโน่
เห็นคนล่องเรือตามแม่น้ำด้วยครับ
ภูเขา แม่น้ำ รางรถไฟ และใบไม้เปลี่ยนสี

ใบไม้เปลี่ยนสีที่ 4 – วัดเทนริวจิ (Tenryuji Temple)

วัดเทนริวจิเป็นวัดเซนอันดับหนึ่งที่ต้องมาชม เพราะที่นี่มีใบไม้เปลี่ยนสีทั่วทั้งบริเวณ เราสามารถเดินชมได้ฟรีด้านนอก หรือจะจ่ายเงินเพื่อเข้าไปชมสวนสไตล์เซนด้านในด้วยก็ได้ พวกผมเลือกชมกันแค่ด้านนอกเพราะแค่นี้ก็ถ่ายรูปกันไม่หวาดไม่ไหวแล้ว

วัดเทนริวจิใบไม้เปลี่ยนสี วัดเทนริวจิ
ใบไม้เปลี่ยนสี วัดเทนริวจิ

ใบไม้เปลี่ยนสีที่ 5 – วัดโทฟุคุจิ (Tofukuji Temple)

วัดโทฟุคุจิเป็นวัดที่ต้องห้ามพลาดอีกแห่งสำหรับคนรักการชมใบไม้เปลี่ยนสี ที่นี่มีต้นเมเปิ้ลมากกว่า 2,000 ต้น เรียกว่ามองไปทางไหนก็เห็นแต่สีสันสวยงามของใบไม้เปลี่ยนสี และเพื่อนๆ อย่าลืมไปเดินที่สะพาน Tsutenkyo ด้วยนะครับ จะทำให้เรารู้ว่าสวรรค์แห่งการชมใบไม้เปลี่ยนสีนั้นเป็นเช่นไร

ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ (Fushimi-Inari Shrine)

ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ หรือศาลเจ้าจิ้งจอก ที่นี่เราจะได้เจอเสาโทริอิสีแดง นับพันนับหมื่นต้นเรียงรายล้อมรอบภูเขา ซึ่งถ้าเราจะเดินให้ครบทุกเสาจะต้องใช้เวลา 2-3 ชั่วโมงเลยทีเดียว แนะนำว่าเดินแค่ 1 กิโลเมตรแรกก็พอครับ ด้านในก็เหมือนๆ กัน พวกผมมาที่นี่ก็เกือบจะมืดแล้ว เลยถ่ายรูปกันได้แค่แป๊บเดียวแสงก็หมด

เสาโทริอิสีแดง ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ

จากนั้นก็รีบเดินทางกลับไปยังโอซาก้า ใช้เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมง หิวก็หิวแต่วันนี้เราจะไม่พลาด ตั้งพิกัดตรงดิ่งไปยังร้านเนื้อย่าง Fufutei พวกผมสั่งจัดเต็มคนละ 3,218 เยน ทนหิวต่อไปไม่ไหวแล้ว เพื่อนๆ มาทานด้วยกันเลยคร้าบ

บุฟเฟ่ต์เนื้อย่าง ร้าน Fufutei Yakiniku

มื้อนี้เรียกว่าอิ่มท้องกันสุดๆ แฮปปี้กันถ้วนหน้า ที่เหลือก็แค่ลากตัวเองกลับไปยังที่พักให้ได้ ไปถึงก็หลับเป็นตายอีกวัน รีบนอนเก็บแรงดีกว่าเพราะวันพรุ่งนี้เราต้องเปลี่ยนเมืองกันแล้ว

วันนี้เราต้องย้ายไปนอนกันที่คาวาคุจิโกะ เลยต้องพึ่งรถไฟชินคันเซ็นอีกครั้ง ใช้เวลาเดินทาง 2 ชั่วโมง 30 นาที เพื่อไปยังสถานี Shin-Yokohama แล้วนั่งรถไฟธรรมดาต่อไปยังสถานี Otsuki แล้วต่อรถไฟ Fujikyu ก็จะถึงสถานี Kawaguchiko เป็นสถานีปลายทางที่เราจะไปเช็คอินโรงแรมวันนี้ ส่วนเรื่องเที่ยวไม่ต้องพูดถึง เพราะมันหมดเวลาไปกับการนั่งรถข้ามเมืองนี่แหละ ฮ่าๆ

ขณะนั่งรถไฟชินคันเซ็นจากสถานี Shin-Osaka ไปยังสถานี Shin-Yokohama พวกผมได้เห็นภูเขาฟูจิตั้งเด่นงดงามรอต้อนรับอยู่ ท้องฟ้าสดใส อากาศเย็นสบาย ช่างมีความสุขจริงๆ นี่เป็นครั้งที่ 2 แล้วที่ผมได้เจอกับฟูจิซัง หวังว่าตอนที่อยู่ที่คาวาคุจิโกะจะได้เห็นเต็มตากว่านี้ เอาล่ะ.. รอลุ้นกันนะคร้าบ

ฟูจิซังโผล่มาต้อนรับพวกผมระหว่างนั่งรถไฟชินคันเซ็นไปยังสถานี Shin-Yokohama

เมื่อถึงสถานี Shin-Yokohama เราก็นั่งรถไฟต่ออีก 2 ขบวนไปยังสถานี Otsuki มีเรื่องระทึกอีกแล้วเพราะรถไฟหลายสายดีเลย์เนื่องจากมีเหตุแผ่นดินไหวทำให้รางรถไฟชำรุดและต้องหยุดวิ่งไปหลายสาย และกระทบมายังขบวนที่ผมต้องเดินทางด้วย แต่โชคดีที่พวกผมเจอดีเลย์แค่ 30 นาที เพราะได้คุยกับคนไทยด้วยกันซึ่งเดินทางมาจากโตเกียวเจอดีเลย์ไปหลายชั่วโมงเลย

ตอนนี้ก็เวลา 15.30 น. ที่สถานี Otsuki อีกขบวนเดียวเท่านั้น และตั้งแต่สถานีนี้ไปไม่สามารถใช้ JR Pass เบ่งขึ้นรถไฟได้แล้วนะครับ เตรียมเงินจ่ายค่ารถไฟ Fujikyu Railway อีกคนละ 1,140 เยน แล้วนั่งสุดสายไปลงสถานี Kawaguchiko อีก 1 ชั่วโมงเท่านั้นก็จะถึงแล้วครับ

รถไฟ Fujikyu Railway แบบจอดทุกสถานี

ในที่สุดก็มาถึงสถานี Kawaguchiko สักที อากาศหนาวกว่าที่คาดไว้มาก ท้องฟ้าก็มืดเร็วด้วย พวกผมรีบเดินจากสถานีไปยังที่พักที่จองจาก AirBNB ไว้ ห่างจากสถานีรถไฟ Kawaguchiko เพียง 1 กิโลเมตร ก็เลยเลือกเดินลากกระเป๋ากันไปเรื่อยๆ เมื่อถึงที่พักก็ต้องตะลึงกับความสวยงาม นี่มันบ้านคนญี่ปุ่นจริงๆ เลยนี่นา เหมือนกำลังอยู่ในบ้านของโนบิตะเลยครับ ที่พักนี้ชื่อว่า Fujitrip แบ่งเป็น 3 ห้องนอน 1 ห้องรับแขก 1 ห้องครัว 1 ห้องน้ำ ใกล้ที่พักมีแฟมิลี่มาร์ทด้วยครับ

Fujitrip คาวาคุจิโกะ

เมื่อเก็บข้าวของเรียบร้อยเราก็ออกไปหาอะไรทานเป็นมื้อเย็นกัน และที่สำคัญจะต้องหาร้านเช่าจักรยานสำหรับปั่นเที่ยวรอบทะเลสาบคาวาคุจิโกะในวันพรุ่งนี้ด้วย พวกผมไปเจออยู่ร้านนึงใกล้สถานีรถไฟ คุยกันเบ็ดเสร็จขอเช่าเหมา 24 ชั่วโมง ราคา 2,500 เยน/คัน จักรยานที่ได้เป็นจักรยานไฟฟ้าซึ่งขอบอกว่าช่วยทุ่นแรงของพวกผมได้มาก ออกแรงปั่นเบาๆ นิดเดียวก็พุ่งฉิว ทำให้การขี่จักรยานรอบทะเลสาบเป็นเรื่องง่ายไปเลยครับ เอาล่ะ.. นัดแนะเจ้าของร้านเรียบร้อยให้เตรียมไว้เลยพรุ่งนี้ 6 คัน สบายใจแล้วก็ไปหาอะไรกินกันแล้วก็รีบกลับไปนอนพักเอาแรง

อุณหภูมิเช้านี้ 9 องศา

เช้าวันรุ่งขึ้นแทบไม่อยากสลัดตัวออกจากผ้าห่ม อากาศตอนนี้ 9 องศา หนาวขึ้นอีกแล้วครับ ไหนใครบอกว่าช่วงนี้จะไม่ต่ำกว่า 10 องศาไง นั่นก็เพราะช่วงที่ผมไปสภาพอากาศแปรปรวนทำให้อุณหภูมิลดต่ำลงเร็วมาก โชคดีที่พวกผมพกเสื้อโค้ทกับเสื้อขนเป็ดไปด้วย จึงทำให้ยังสามารถลุยเที่ยวต่อไปได้ ไม่งั้นคงได้นั่งกอดฮีตเตอร์ที่ห้องไม่ได้ออกไปไหนแน่ๆ

จุดหมายแรกก็คือการปั่นจักรยานไปดูฟูจิน้อย ซึ่งจากฟูจิน้อยสามารถเห็นฟูจิซังได้เต็มตาด้วยครับ แต่โชคไม่ดีที่วันนี้ฟูจิซังขี้อายโผล่มาแป๊บเดียวก็หายไปเลยตลอดทั้งวัน เอาน่า.. ไม่เป็นไรนะ ใบไม้เปลี่ยนสียังรอเราอยู่ ว่าแล้วก็ตามมาชมกันครับ

ฟูจิน้อย คาวาคุจิโกะ

ใบไม้เปลี่ยนสีที่ 6 – เมเปิ้ล คอริดอร์ (Maple Corridor)

ทางเดินสายเมเปิ้ล เป็นจุดชมใบเมเปิ้ลเปลี่ยนสีที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งในแถบภูเขาฟูจิ ใบไม้ที่ร่วงจะลงมากองที่พื้นเหมือนปูพรมไว้อย่างสวยงาม และถ้าใครมาตรงกับวันที่ 1-23 พ.ย. จะมีการประดับไฟเพื่อชมความงามของใบไม้เปลี่ยนสีในยามค่ำคืนอีกด้วยครับ พวกผมถ่ายรูปกันเพลินเลยทีเดียว คือมันสวยงามมากจนอยากอยู่ที่นี่ทั้งวัน

เมเปิ้ล คอริดอร์ คาวาคุจิโกะ

ใบไม้เปลี่ยนสีที่ 7 – ทะเลสาบคาวาคุจิโกะ (Kawakuchiko Lake)

การจะชมใบไม้เปลี่ยนสีรอบทะเลสาบคาวาคุจิโกะได้ดีและประหยัดที่สุดคือการขี่จักรยาน เพราะเราสามารถแวะจุดไหนก็ได้ เห็นใบไม้เปลี่ยนสีตรงไหนสวยก็จอด ยืนยันว่าใบไม้เปลี่ยนสีรอบทะเลสาบคาวาคุจิโกะสวยงามมากจริงๆ และจักรยานไฟฟ้าช่วยทุ่นแรงพวกผมไปได้มาก ทำให้การปั่นรอบทะเลสาบคาวาคุจิโกะเป็นเรื่องง่ายไม่เหนื่อยเลย แถมยังบ้าพลังปั่นกันไปถึงทะเลสาบไซโกะด้วยครับ อย่ารอช้าขี่จักรยานตามมาชมกันเลยครับ

ทะเลสาบไซโกะ

พวกเราหยุดพักกันที่ร้านขนมหวานตรงทะเลสาบไซโกะ อุณหภูมิลดต่ำจนเหลือ 4 องศา หนาวมากจนเสื้อโค้ทเริ่มเอาไม่อยู่ต้องรีบปั่นจักรยานกลับที่พัก แค่เปิดประตูเข้าห้องไปได้ความมีชีวิตชีวาก็กลับมาอีกครั้งเมื่อได้รับไออุ่นจากฮีตเตอร์ พวกผมรีบเคลียร์ตัวเองแล้วก็มาประเมินสถานการณ์กัน ตอนนี้อุณหภูมิลดต่ำลงเหลือ 2 องศา มันหนาวเกินกว่าที่จะปั่นจักรยานไปชมเทศกาลประดับไฟตอนกลางคืนที่เมเปิ้ลคอริดอร์ได้ ก็เลยตัดสินใจนำจักรยานไปคืนดีกว่า เพราะการปั่นจักรยานมันหนาวกว่าตอนเดินมากๆ เนื่องด้วยจะมีลมมาปะทะทั่วร่างกายเต็มๆ เสื้อผ้าก็ไม่พร้อมรับมือความหนาว และต้องขี่จักรยานท่ามกลางความมืดถึง 30 นาที แค่คิดก็ขนลุกไปทั้งตัว ฮ่าๆ

พอเอาจักรยานไปคืนเสร็จ เราก็แวะกันที่ร้านแฟมิลี่มาร์ท ซื้อเนื้อหมู ไก่ แฮม ผักต่างๆ น้ำซุป น้ำจิ้ม กลับไปยังที่พัก อย่างที่เพื่อนๆ คิดนั่นล่ะครับ มื้อนี้พวกผมจะทำชาบูทานกันเอง อุปกรณ์นะเหรอที่พักมีไว้ให้ครบรวมไปถึงแก๊สกระป๋อง ทำให้มื้อนี้เป็นมื้อที่สนุกและประทับใจมาก ทุกคนช่วยกันทำคนละไม้คนละมือจนสำเร็จเป็นชาบูแสนอร่อย ความหนาวของอากาศบรรเทาลงเพราะชาบูร้อนๆ ที่พวกเราต้องแย่งกันกิน ฮ่าๆ

ชาบูทำกินเอง ฟูจิทริป

อิ่มแล้วก็เก็บล้างจานชามคืนที่เดิม นอนหลับกันเป็นตายอีกวัน ฮีตเตอร์ต้องคอยเปิดทุกๆ 2 ชั่วโมง ปิด 1 ชั่วโมง (ไม่แนะนำให้เปิดติดต่อกันเป็นเวลานาน เพราะเราจะสูดไอระเหยของน้ำมันเข้าไประหว่างนอนหลับ ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพ) ส่วนอุณหภูมิก็ยังลดต่ำลงเรื่อยๆ จนในที่สุดเช้าวันใหม่ก็มาถึง ผมได้ยินเสียงแกรกๆ กระทบที่กระจกหน้าต่าง พอเปิดประตูกระดาษออกไปดูเท่านั้นก็ต้องตะลึงทั้งแปลกใจปนประทับใจ เพราะว่าสิ่งที่ผมเห็นมันคือหิมะขาวโพลนเต็มไปหมด มองไปทางไหนก็มีแต่หิมะ นี่อากาศแปรปรวนจนอุณหภูมิติดลบไปแล้วหรือนี่ ไม่รอช้ารีบคว้ากล้องออกไปย่ำหิมะเล่นทันที สมาชิกคนอื่นที่เห็นผมกระตือรื้อร้นก็รีบออกไปดู แต่ก็ต้องวิ่งกลับเข้ามาแต่งตัวแล้วรีบตามออกไปอีกที ทุกคนต่างประทับใจมากๆ ทริปนี้เจอทั้งฝน ทั้งใบไม้เปลี่ยนสี และหิมะ มาครั้งเดียวแต่ได้ครบ 3 ฤดู ฮ่าๆ จะเรียกว่าโชคดีหรือโชคร้ายกันเนี่ย ฟิน..

อุณหภูมิ -1 องศา คาวาคุจิโกะ

เมื่อหิมะตกแบบนี้ การชมใบไม้เปลี่ยนสีก็ต้องจบไปโดยปริยายซึ่งก็ตรงกับแพลนที่วางไว้เป๊ะๆ แต่ความลำบากมาเยือนแล้วเพราะวันนี้เราต้องเดินลุยหิมะพร้อมกระเป๋าใบใหญ่เป็นระยะทาง 1 กิโลเมตรไปยังสถานีรถไฟ Kawaguchiko เพื่อย้ายไปพักกันที่ชินจูกุ เนื่องจากหิมะตกแบบนี้ถึงอยู่ไปก็ได้แต่นั่งๆ นอนๆ ไม่ได้ออกไปไหนแน่ๆ (แนะนำสำหรับคนที่ต้องการมาเที่ยวคาวาคุจิโกะ การพักที่ชินจูกุจะทำให้เรานั่งรถไฟและรถบัสมาได้สะดวกที่สุด)รถไฟโทมัสแอนด์เฟรนด์ พาพวกผมกลับไปยังสถานี Otsuki

เมื่อถึงสถานี Kawaguchiko ก็เห็นคนที่เพิ่งเดินทางมาออกันเต็มไปหมดดูวุ่นวาย อาจจะเพราะทั้งรถบัสหรือรถตู้หยุดวิ่งกันพอสมควร คันไหนที่วิ่งได้ก็ต้องเอาโซ่มาพันที่ล้อเอาไว้ดูทุลักทุเล พวกผมขึ้นรถไฟโทมัสลุยหิมะต่ออีก 1 ชั่วโมงก็ถึงสถานี Otsuki แล้วก็ต่อรถไฟ Express อีกขบวนยิงยาวจนไปถึงสถานีชินจูกุ แวะทานอาหารกลางวันที่ The Old Station อยู่ในห้างที่ติดกับสถานี JR Shinjuku เลย อิ่มอร่อยมาก ชอบที่สุดก็ชุดสเต๊กราคาประหยัด และยังมีน้ำแอบเปิ้ล น้ำส้ม ชา กาแฟ ดื่มไม่อั้นอีกด้วย

The Old Station Beer & Grill ที่ชินจูกุสเต๊กไก่ จริงๆ แล้วร้านนี้มีแต่เนื้อวัว แต่ผมไม่กินเนื้อวัวเขาจึงสรรหาไก่มาให้ น่ารักมากๆข้าวหน้าเนื้อย่าง หน้าตาดูไม่เหมือนขาวหน้าเนื้อที่อื่นๆ

เมื่ออิ่มแล้วก็ลากกระเป๋ากันไปยังที่พักต่อ โชคดีที่หิมะละลายหมดแล้วทำให้ลากกระเป๋าได้สบายๆ พวกผมจองที่พักที่ชินจูกุผ่าน AirBNB เหมือนเดิม ห้องพักแบ่งเป็น 2 ห้องนอน 1 ห้องอาหาร 1 ห้องน้ำ เป็นห้องพักที่เล็กที่สุดในทริปนี้ แต่ถ้าเทียบกับทำเลก็ถือว่าดีที่สุดเช่นกัน

ที่พักชินจูกุ

เมื่อเคลียร์กระเป๋า ล้างหน้าล้างตา และพักผ่อนกันเรียบร้อย พวกผมก็พร้อมจะไปช้อปปิ้งกันที่ถนนคนเดิน นากาโน่ บอร์ดเวย์ ตามมากันเลยคร้าบ

นากาโน่ บอร์ดเวย์ (Nakano Broadway)

ถนนคนเดินที่รวมแบรนด์เนมต่างๆ ไว้มากมาย ใครที่ชอบช้อปปิ้งต้องไม่พลาด ยิ่งถ้ามาทางสายอนิเมะ มังงะ โอตาคุ แล้วล่ะก็สามารถโดนสูบเงินออกจากกระเป๋าได้อย่างไม่รู้ตัว พวกผมนี่ตาลุกวาวได้ของกันมาคนละ 2-3 ชิ้น ยิ่งเดินก็ยิ่งเพลินจนลืมเวลากินข้าวเย็นจนต้องรีบพุ่งเข้าร้านซาซิมิ ทั้งช้อปปิ้ง ทั้งอิ่มอร่อย ฟินกันได้อีก

ร้านรองเท้า ABC-Mart ที่นากาโน่ บอร์ดเวย์

เมื่อช้อปปิ้งกันจนหนำใจก็เดินทางกลับที่พักเพื่อเก็บแรงเอาไว้ ซึ่งพรุ่งนี้เราจะต้องลุ้นพยากรณ์อากาศว่าท้องฟ้าจะสดใสหรือไม่ เพราะมันคือวันสุดท้ายจริงๆ ที่เราจะได้ไปชมฟูจิซัง เพื่อนๆ ช่วยลุ้นและเป็นกำลังใจให้พวกผมด้วยนะคร้าบ

เช้าวันใหม่พยากรณ์บอกว่าวันนี้อากาศดี ทำให้ความหวังที่จะได้เจอฟูจิซังสดใสขึ้นทันที วันนี้เราจะไปนั่งรถไฟด่วนพิเศษ (ใช้บัตรเบ่ง JR Pass ได้) ไปที่สถานี Otsuki อีกครั้ง แล้วซื้อตั๋ว 1 วันสำหรับรถไฟ Fujikyu Railway ที่จะทำให้เรานั่งรถไฟสายนี้กี่เที่ยวก็ได้ รวมถึงรถไฟ Fujisan View Express รถไฟชมวิวแบบด่วนพิเศษที่ตู้กระจกด้านหน้าใสจนเห็นฟูจิซังได้ 180 องศา

รถไฟด่วนพิเศษ จากสถานี Shinjuku ไปยังสถานี Otsuki

เมื่อถึงสถานี Otsuki ก็รีบตรงดิ่งไปซื้อตั๋วเหมา 1 วันสำหรับนั่งรถไฟ Fujikyu Railway จากนั้นเข้าไปรอด้านในสถานี แต่ เมื่อผมมองไปด้านนอกชัดๆ ก็เห็นว่านั่นคือฟูจิซัง มันเป็นอะไรที่ประทับใจมาก ท้องฟ้าสดใสมีเมฆเล็กน้อย ในที่สุดเราก็ได้เจอกันอีกครั้งแล้วนะฟูจิซัง ชื่นชมได้ไม่นานรถไฟด่วนพิเศษ (Fujisan View Express) ก็เริ่มออกเดินทาง รถไฟขบวนนี้จะจอดเฉพาะสถานีหลัก (ถ้าเป็นรถไฟโทมัสจะจอดทุกสถานี) แล้วไปสุดสายที่สถานี Kawaguchiko ผมเลือกที่นั่งหน้าสุดเพื่อชมวิวภูเขาฟูจิแบบ 180 องศา โดยที่นั่งตรงนี้มีค่าใช้จ่ายเพิ่มอีก 200 เยน ระหว่างทางเราจะได้เห็นวิวภูเขาฟูจิชัดสุดๆ แบบไม่มีใครเหมือน

เห็นฟูจิซังจากกระจกบานใหญ่ ด้านหน้าขบวนรถไฟ Fujisan View Express

เมื่อถึงสถานี Kawaguchiko ผมก็ตรงดิ่งไปที่ร้านเช่าจักรยานร้านเดิม ขอเช่าจักรยานไฟฟ้า 3 ชั่วโมง 1,500 เยน แล้วก็ปั่นไปยังจุดชมวิวฟูจิน้อยทันที (เนื่องด้วยหิมะยังละลายบนฟุตบาทไม่หมดจึงต้องมาขี่จักรยานบนถนน และหิมะทำให้การขี่จักรยานนั้นลื่นและลำบากมาก ใครที่จะทำตามกรุณาขี่ช้าๆ และใช้ความระมัดระวังมากกว่าปกตินะครับ) ตลอดทางเราจะได้เห็นภูเขาฟูจิตั้งเด่นอลังการไม่ว่าจะอยู่มุมไหนก็ตาม

ภูเขาฟูจิ (Mt. Fuji)

ภูเขาฟูจิ เป็นภูเขาที่ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของประเทศญี่ปุ่น โดยฟูจิซังนั้นเป็นภูเขาที่ขี้อาย ถ้าสภาพอากาศไม่ดีเราก็จะไม่ได้เห็นฟูจิซังไปด้วยจนต้องผิดหวังไปตามๆ กัน ใครที่จะมาอย่าลืมเช็คพยากรณ์อากาศให้ดี โดยทะเลสาบคาวาคุจิเป็นจุดชมวิวภูเขาฟูจิสะท้อนอยู่ในน้ำที่สวยงามมาก ในที่สุดเราก็ได้เจอกันอีกครั้ง โอฮาโย… ฟูจิซัง

ฟูจิซังกับสะพานโอฮาชิสะพานโอฮาชิ เป็นทางลัดที่ทำให้เราไปยังจุดชมวิวมหาชนเร็วกว่าการขี่อ้อมทะเลสาบ

ใบไม้เปลี่ยนสี(เป็นสีขาว)ที่ 8 – กระเช้าชมฟูจิ (Kachi Kachi Ropeway)

ใครที่อยากเห็นภูเขาฟูจิในมุมสูง ต้องไม่พลาดการขึ้นกระเช้าไปยังยอดเขาคาชิคาชิ โดยกระเช้าแห่งนี้มีตำนานเล่าขานของเจ้าแรคคูนกับกระต่ายด้วยนะครับ เมื่อขึ้นไปถึงด้านบนเราจะได้เห็นฟูจิซังอลังการ และ ยังมีกิจกรรมอาทิ การปาคาวาระเกะ (Kawarake) 2 ชิ้น 100 เยน โดยก่อนจะปาให้ขอพรในสิ่งที่ต้องการแล้วเล็งให้ดี ถ้าปาเจ้าคาราวาเกะเข้าไปในห่วงได้ก็จะสมปราถนา

กระเช้า Kachi Kachi
ใบไม้เปลี่ยนสีเป็นสีขาวจากการถูกหิมะตกใส่
วิวทะเลสาบคาวาคุจิโกะ ที่จุดรอลงกระเช้า Kachi Kachi

เรียบร้อยแล้วเราก็เอาจักรยานไปคืน แล้วนั่งรถไฟโทมัส (ห้ามนั่ง Fujisan View Express นะ เพราะมันจะไม่จอด) เพื่อไปยังสถานี Shimoyoshida ที่นี่ถือเป็นจุดชมวิวภูเขาฟูจิอีกแห่งนึงที่ไม่ควรพลาด

เจดีย์ชูเรโตะ (Chureito Pagoda)

เจดีย์แดงตั้งตระหง่านอยู่บนเขา ที่นี่เป็นอีกจุดนึงที่ผู้คนต่างเดินขึ้นบันไดหลายร้อยขั้นมาเพื่อชมภูเขาฟูจิ โดยจะมีมุมให้เราถ่ายรูปฟูจิซังกับเจดีย์ได้ด้วย แต่แนะนำให้มาก่อนเที่ยง เพราะจะถ่ายรูปได้สวยและไม่ย้อนแสงครับ ซึ่งแน่นอนช่วงที่ผมมามันเลยเที่ยงไปนานแล้ว ทำให้ได้ภาพฟูจิซังกับเจดีย์แดงแบบย้อนแสงมาให้ชม

แผ่นคาวาระเกะ ก่อนจะปาให้ขอพร ถ้าปาเข้าห่วงได้พรที่ขอก็จะสมหวังตามปรารถนา

เรียบร้อยแล้วเราก็เอาจักรยานไปคืน แล้วนั่งรถไฟโทมัส (ห้ามนั่ง Fujisan View Express นะ เพราะมันจะไม่จอด) เพื่อไปยังสถานี Shimoyoshida ที่นี่ถือเป็นจุดชมวิวภูเขาฟูจิอีกแห่งนึงที่ไม่ควรพลาด

เจดีย์ชูเรโตะ (Chureito Pagoda)

เจดีย์แดงตั้งตระหง่านอยู่บนเขา ที่นี่เป็นอีกจุดนึงที่ผู้คนต่างเดินขึ้นบันไดหลายร้อยขั้นมาเพื่อชมภูเขาฟูจิ โดยจะมีมุมให้เราถ่ายรูปฟูจิซังกับเจดีย์ได้ด้วย แต่แนะนำให้มาก่อนเที่ยง เพราะจะถ่ายรูปได้สวยและไม่ย้อนแสงครับ ซึ่งแน่นอนช่วงที่ผมมามันเลยเที่ยงไปนานแล้ว ทำให้ได้ภาพฟูจิซังกับเจดีย์แดงแบบย้อนแสงมาให้ชม
เจดีย์แดงชูเรโตะ
เจดีย์ชูเรโตะ กับฟูจิซัง

ศาลเจ้าอาราคุระเซนเกน (Arakura Sengen Shrine) ที่มีเจดีย์แดงชูเรโตะอยู่ภายใน เมื่อมาถึงชินจูกุเราตัดสินใจไปร้าน The Old Station อีกครั้ง เพราะติดใจอาหารมื้อกลางวันของเมื่อวานแต่ปรากฏว่าดูเมนูแล้วไม่โดนเลย ฮ่าๆ เมื่อกินเสร็จก็เดินทางไปสถานีชิบุยะ เพื่อจะไปชมรูปปั้นฮาจิโกะ เดินข้ามแยกชิบุยะ ชมอุโมงค์ไฟสีน้ำเงิน และช้อปปิ้งกันต่อ

ลานรูปปั้นฮาจิโกะ สุนัขผู้ภักดี ชิบุยะ

ใบไม้เปลี่ยนสี(เป็นสีน้ำเงิน)ที่ 9 – อุโมงค์ไฟสีน้ำเงิน (Blue Tunnel)

อุโมงค์ไฟสีน้ำเงินที่ชิบุยะ โดยปีนี้ 2016 เป็นครั้งที่สองที่อุโมงค์ไฟถูกนำกลับมาจัดแสดงอีกครั้ง การประดับตกแต่งด้วยไฟ LED สีน้ำเงินตามต้นไม้เป็นระยะทางประมาณ 750 เมตร ยิ่งเดินเข้าไปลึกก็ยิ่งสวย พวกผมเดินชมและถ่ายรูปกันสักพักก็ไปหาที่ช้อปปิ้งต่อ
อุโมงค์ไฟสีน้ำเงิน ทำให้ทุกอย่างกลายเป็นสีน้ำเงิน ชิบุยะ
ต้นไม้และใบไม้เปลี่ยนสีเป็นสีน้ำเงิน ชิบุยะ

จากนั้นก็ไปเดินซื้อของอีกเล็กน้อยก่อนกลับที่พัก วันนี้เหนื่อยจริงๆ ไหนจะเดินทางไปคาวาคุจิโกะ ต้องขี่จักรยานรอบทะเลสาบ ต้องเดินขึ้นบันไดชมเจดีย์ และยังต้องมาเดินต่อที่ชิบุยะอีก และพอถึงที่พักก็ต้องมาเก็บข้าวของอีกเพราะพรุ่งนี้คือวันสุดท้ายแล้ว ตายๆๆ ฮ่าๆ และแล้วของที่ช้อปปิ้งมาทั้งหมดถูกจัดวางในกระเป๋าอย่างเรียบร้อย แพลนของเราพรุ่งนี้ก็ยังเป็นการช้อปปิ้งต่อ พอแล้วกับการตามล่าใบไม้เปลี่ยนสีเพราะตอนนี้ต้องตามล่าของช้อปปิ้งให้ครบได้แล้ว ฮ่าๆ

รถไฟสาย Yurikamome วิ่งวนพาข้ามไปยังเกาะโอไดบะ

วันนี้เป็นวันที่ JR Pass ไม่สามารถใช้เบ่งได้อีกต่อไป พวกเราคืนกุญแจห้องแล้วลากกระเป๋าใบใหญ่ไปฝากไว้ที่สถานีอูเอโนะ แต่ระทึกนิดหน่อยตรงที่ตู้ล็อคเกอร์ไม่พอจึงฝากได้บางส่วน จากนั้นก็ต้องมาซื้อตั๋วรถไฟรายเที่ยวสาย Yamanote เพื่อไปสถานี Shimbashi มาถึงก็รีบไปดูล็อคเกอร์ก่อนเลย โชคดีที่สถานีนี้มีตู้ล็อคเกอร์เหลือพอสำหรับพวกผม เมื่อเรียบร้อยก็ต่อรถไฟสาย Yurikamome ไปยังสถานี Odaiba-Kaihinkoen ก็ถึงโอไดบะ แต่ก่อนที่จะไปช้อปปิ้งเราไปหาของอร่อยๆ ทานกันก่อนครับ

ร้าน Tsukiji Tama Sushi โอไดบะ

โอไดบะ (Odaiba)

เป็นเกาะที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นแหล่งช้อปปิ้ง มีห้างมากมาย เช่น ไดเวอร์ซิตี้ พาเลตทาวน์ วีนัสฟอร์ต เป็นต้น เรียกว่าเดินทั้งวันก็ไม่หมด และที่นี่ยังมีสะพานสายรุ้งที่หลายคนชอบมาชมแสงไฟในยามค่ำคืนด้วย พวกผมตัดสินใจไปเดินที่ห้างวีนัสฟอร์ต ทำให้เห็นว่าห้างนี้มีการตกแต่งแบบเวนิส เพดานเป็นท้องฟ้าสามารถเปลี่ยนสีไปตามเวลาจริง ให้ความรู้สึกเหมือนกับเรากำลังอยู่ใต้ท้องฟ้าด้านนอกห้าง และที่นี่ยังเป็นศูนย์รวม Outlet แบรนด์เนมมากมาย มองไปทางไหนก็มีแต่ร้านที่พร้อมจะให้เราควักเงินออกจากกระเป๋าไปอย่างไม่รู้ตัว

หุ่นกันดั้มยักษ์ หน้าห้าง Diver City ที่โอไดบะ

ชิงช้าสวรรค์ โอไดบะ

เมื่อช้อปปิ้งกันเรียบร้อยแล้วก็ถึงเวลาต้องเดินทางกลับ มีเรื่องระทึกอีกแล้วเพราะเราไปเสียเวลาตอนรออาหารเย็น เสียเวลาตอนหาจุดฝากกระเป๋า และเสียเวลาหาสถานีรถไฟเคย์เซย์ เกือบตกเครื่องบินเพราะเหลือเวลาอีกเพียง 2 นาที เจ้าหน้าที่ก็จะไม่ให้โหลดกระเป๋าแล้ว แต่ละคนวิ่งกันสุดชีวิตพอรู้ว่าทันโหลดกระเป๋าก็ยิ้มออกได้สักที ฮ่าๆ ตอนนั่งรถไฟเคย์เซย์มาสนามบินนี่แหละที่ทุกคนลุ้นกันสุดๆ

ต้องขอบคุณสมาชิกทั้ง 6 คน ที่ร่วมเดินทาง ร่วมลุ้น ร่วมแก้ปัญหาไปด้วยกัน ทริปนี้เป็นทริปที่สนุกมาก ได้เจออะไรที่ประทับใจและไม่คาดคิดหลายอย่าง ได้พบอากาศ 3 ฤดูในทริปเดียว ทั้งฝนตก ใบไม้เปลี่ยนสี และหิมะ แต่ทุกอย่างก็ผ่านไปได้ด้วยดี อ่ะ.. เกทเปิดให้ขึ้นเครื่องแล้ว ต้องขอจบทริปตามล่าใบไม้เปลี่ยนสีไว้เพียงเท่านี้ แล้วแพ็คกระเป๋าไปเที่ยวด้วยกันใหม่นะคร้าบ

ค่าใช้จ่าย
– ตั๋วเครื่องบินไปกลับ ดอนเมือง-นาริตะ 7,520 บาท/คน
– ที่พัก 7 คืน ทั้งหมด 40,460 บาท ตกคนละ 6,744 บาท
– ค่าเช่า Pocket Wifi 9 วัน ทั้งหมด 1,560 บาท ตกคนละ 260 บาท
– บัตรขึ้นรถไฟฟ้า JR Pass ไม่จำกัด 7 วัน 9,050 บาท/คน
– บัตรขึ้นรถไฟ Fujikyu Railway ไม่จำกัด 1 วัน 910 บาท/คน (2,600 เยน)
– ค่าโดยสารรถไฟแบบซื้อรายครั้ง 1,461 บาท/คน (4,260 เยน)
– ค่าเข้าอควาเรียมไคยูคัง 805 บาท/คน (2,300 เยน)
– รถไฟซากาโน่ เที่ยวเดียว 217 บาท/คน (620 เยน)
– ค่าเข้าวัดโทฟุคุจิ 140 บาท/คน (400 เยน)
– ค่าเช่าจักรยานไฟฟ้า 24 ชั่วโมง 875 บาท/คน (2,500 เยน)
– ค่าเช่าจักรยานไฟฟ้า 3 ชั่วโมง 525 บาท/คน (1,500 เยน)
– ค่าขึ้นกระเช้าชมฟูจิไปกลับ 280 บาท/คน (800 เยน)
– ค่าโดยสารรถไฟเคย์เซย์เที่ยวเดียว 868 บาท/คน (2,480 เยน)
– บุฟเฟ่ต์เนื้อย่างร้าน Yakiniku Fufutei 1,127 บาท/คน (3,218 เยน)
– วัตถุดิบ และเครื่องทำชาบู ทั้งหมด 6,060 เยน ตกคนละ 354 บาท (1,010 เยน)
– ค่าอาหาร 17 มื้อ 8,358 บาท/คน (23,880 เยน)
รวมทั้งหมด 39,494 บาท/คน

ขอบคุณรีวิวน่ารักๆจาก Guest สุดพิเศษ คุณ “แพ็คกระเป๋า” สมาชิก สังกัด pantip จากกระทู้ “ตามล่าใบไม้เปลี่ยนสีที่ญี่ปุ่น ทริปเดียว 3 ฤดู” ที่มามอบประสบการณ์ จัดเต็มแบบนี้ มาให้รับเสียงปรบมือจากเราไปเล้ย !!
ระดับความน่าไป : ✩✩✩✩✩
ใครอยากตามไปให้กำลังใจคุณ “แพ็คกระเป๋า” ได้ที่นี่เลยค่ะ
http://www.packgrapao.com
https://www.facebook.com/packgrapao


ชอบ บทความ มัชรูมทราเวล ทำไงดี…?
1.กดแชร์ต่อ ให้เพื่อนอ่านบ้าง
2. คลิก Likeและติดตามเราได้ที่ Facebook www.facebook.com/mushroomtravel/

—————
Mushroom Travel มีโปรแกรม ทัวร์ญี่ปุ่น ให้เลือกมากที่สุด
โทร. 02-105-6234 (30 คู่สาย)
CustomerService@Mushroomtravel.com
Line id : @mushroomtravel

ตามล่า ใบไม้เปลี่ยนสีที่ญี่ปุ่น ทริปเดียว 3 ฤดู was last modified: May 10th, 2019 by Editor.Mushroom Travel
Exit mobile version