Mushroom Travel

นิวซีแลนด์ ..ลุยเดี่ยว เรียน เที่ยว ทำงาน

Pla Gallery

ชีวิตนี้ที่ต่างแดน (นิวซีแลนด์) ตอนที่ 1 กว่าจะได้ไป เฮ้อ!!!

**ประสบการณ์นี้เกิดขึ้นมาหลายปีแล้วค่ะ ปัจจุบันเรามีครอบครัวแล้ว ลูกสองแล้วค่า วันนี้อยากเอามาเรียบเรียงเล่าสู่กันฟัง เผื่อว่าจะเป็นประโยชน์กับคนอื่นบ้าง ไม่มากก็น้อย

เมื่อคนธรรมดาคนหนึ่งไม่ได้รวยอะไรมาจากไหน พ่อทำงานรัฐวิสาหกิจ แม่เป็นแม่บ้าน พอมีเงินเก็บอยู่นิดหน่อย คิดอยากจะไปเรียนเมืองนอกกับเค้าบ้าง จะเป็นไปได้ไหมเนี่ย?

คำตอบคือ ได้ดิ ทำไมจะไม่ได้ ก็ตั้งใจจะไปเรียนจริงๆ นี่ แล้วก็อยากไปเห็นเมืองนอกของจริงด้วยว่าจะสวยเหมือนในทีวีไหม ชีวิตเกิดมาจะตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้ ตอนนี้มีโอกาสแล้วก็ต้องรีบคว้าไว้

แต่ว่าจะไปไหนดีถึงจะประหยัดทรัพย์ประทับใจ ตอนนั้นคิดอยู่ 2 ประเทศ คือAustralia กับ New Zealand เพราะว่าค่าเงินไม่สูงมากจนเกินไป มีคนหลายคนบอกว่า อย่าไปออสฯ เลย คนไทยเยอะมากๆ เดินไปตรงไหนก็เจอ ถ้าไปแล้วจะได้พูดไทยมากกว่าอังกฤษ แล้วสำเนียงก็เพี้ยนด้วย ก็เลยตัดสินใจแบบง่ายๆ ว่าไป New Zealand แถมค่าเงินยังถูกกว่าออสฯ นิดหน่อย หลังจากที่ตัดสินใจได้ก็ดำเนินการทันที แต่ต้องทำอะไรก่อนล่ะเนี่ย ไม่รู้ล่ะ ก็ไปสถานทูตก่อนเลย ต้องได้อะไรมาบ้างล่ะ สู้โว้ย

สถานทูตนิวซีแลนด์อยู่ในตึกเอ็มไทย ชั้น 14 แต่คิดว่าโชคดีนิดนึงเพราะก่อนที่สุ่มสี่สุ่มห้าขึ้นไป หันไปเห็นป้ายเค้าบอกว่า มีสถานที่แนะแนวการศึกษาต่ออยู่ชั้น 12 เย้ รอดแล้ว พอขึ้นไปเจ้าหน้าที่ท่านก็ให้คำแนะนำ แล้วก็หนังสือมาเล่มนึง ที่บอกถึงรายละเอียดของโรงเรียนทั้งหมดที่อยู่ในนิวซีแลนด์ อยากจะอยู่ที่ไหน เกาะเหนือ เกาะใต้ก็เลือกเอาเลย แต่ขอกระซิบบอกนิดนึงว่าใครกลัวความหนาวล่ะก็ ไปอยู่เกาะเหนือจะดีกว่า จะอุ่นกว่านิดหน่อย

ในหนังสือบอกถึงหลักสูตรการเรียนการสอน รวมไปถึงค่าใช้จ่าย และเงื่อนไขต่างๆ ถือว่าช่วยได้มากทีเดียว กลับมาบ้านก็เอาหนังสือมานั่งดู นอนดู ไปไหนดีเนี่ยเรา หลังจากการคำนวณงบประมาณแล้ว ก็เลือกโรงเรียนภาษาแห่งหนึ่งในเกาะใต้ที่ค่าเรียนไม่แพงมาก แต่ละโรงเรียนก็จะมีข้อเสนอต่างๆ เช่น ถ้าเราสมัครเรียนเกิน 6 เดือน ก็อาจจะลดจากอาทิตย์ละ$320 เหลือ$270 และยังมีกิจกรรมเสริมต่างๆ ที่จะพาไปทำในช่วงวันหยุด เช่น ขี่ม้า ปีนเขา ล่องแก่ง และอื่นๆ อีกมากมาย

เพราะฉะนั้นก่อนตัดสินใจ จะต้องดูให้ดี เราอาจจะส่งเมลไปคุยกับทางโรงเรียนดูก่อนก็ได้ เผื่อเค้ามี promotion อะไรดีๆ เอาล่ะพอเลือกได้แล้วว่าเอาโรงเรียนนี้แหละ ก็ทำการสมัคร โดยการส่งเมลไปหาเจ้าของโรงเรียน เขียนไปแบบผิดๆ ถูกๆ แต่ก็ได้รวบรวมปัญญาทั้งหมดที่มีของเด็กจบปริญญาตรีคนนึงเขียนไป ลบแล้วลบอีก ตายล่ะ ไวยากรณ์ฉันจะถูกไหม ตอนเรียนก็เรียนภาษาอังกฤษกับครูคนไทย พอจะต้องมาติดต่อกับฝรั่งของจริงตัวเป็นๆ ก็กลัวๆ ยังไงก็ไม่รู้ รู้อย่างนี้ให้พ่อกับแม่ส่งเรียนโรงเรียนอินเตอร์ซะตั้งแต่เล็กก็ดี (มโนแป๊บ)

จะให้มาฝึกเอาตอนนี้ลิ้นมันก็แข็งซะแล้ว เขียนจดหมายเสร็จ ก็ได้แต่หวังว่าเค้าจะเข้าใจ เฮ้อ แต่สุดท้ายที่เรียนมาก็ไม่ได้เสียเปล่า เพราะอีกไม่กี่วันก็มีเมลตอบกลับมาเป็นรายละเอียดทั้งหมด ค่าเรียน ค่าที่พัก รวมไปถึงประกันสุขภาพ ตอนนี้ถ้าใครจะไปเรียนต่อต่างประเทศจะต้องมีประกันสุขภาพทุกคน ขอแนะนำว่าทำไปจากเมืองไทยเลยจะง่ายกว่า และถูกกว่า

ขั้นต่อไปก็คือการโอนเงิน ตอนนั้นค่าเงินอยู่ประมาณ 18บาท ต่อ $1 ถือว่าดีมาก ตอนนี้ประมาณ 26 บาทต่อ $1หลังจากนั้นเค้าจะให้ใบเสร็จและหลักฐานยืนยันที่อยู่มา แล้วเราก็เอาหลักฐานทั้งหมดนี่แหละไปขอวีซ่า ตอนไปขอวีซ่าเราก็ทำตามขั้นตอนทุกอย่าง แล้วก็รอผล อีกไม่กี่วันก็มีโทรศัพท์มาว่าให้ไปสัมภาษณ์ โอ้ย! อะไรเนี่ย ฉันจะไปเรียนนะ ไม่ได้ไปสมัครงาน พอไปถึง ก็ไปเจอกับเจ้าหน้าที่เป็นผู้หญิงอายุประมาณเกือบสามสิบ หน้าตาบอกบุญไม่รับ (ไม่อยากจะบอกว่าถึงตอนนี้ก็จะยังจำหน้า จำชื่อได้อยู่ เวลาเผาพริก เผากระเทียม จะได้ไม่พลาด)

คำถามแรก นางถามว่า ไม่ทราบว่าคุณจะไปทำไมคะ? อ้าวถามแบบนี้ ยังไงเจ๊ แต่ก็เก็บอารมณ์แล้วก็ตอบไปอย่างสุภาพ “ไปเรียนภาษาค่ะ”

ประโยคต่อไปคุณเจ้าหน้าที่บอกว่า “ พูดตรงๆ เลยนะ ดิฉันไม่เชื่อหรอกค่ะว่าคุณจะไปเรียนจริงๆ”(ยังจำได้จนถึงทุกวันนี้) เจ๊เอ๊ย คิดได้ไงเนี่ย เอาสมองส่วนไหนมาคิดมิทราบ เป็นผู้หญิงเหมือนกัน ไม่น่าดูถูกกันเองเลย อยากจะรู้นักถ้าเราเป็นลูกคนใหญ่คนโตมีนามสกุลดังคับฟ้า เค้าจะทำกับเราแบบนี้ไหม ตอนนั้นของเริ่มขึ้น โมโหสุดๆ แต่ก็ตอบไป กัดฟันไป ว่า ไปเรียนจริงๆ ค่ะ แล้วก็ไปแค่ไม่กี่เดือนเอง เงินในบัญชีนี่ก็น่าจะพอใช้

“แล้วดิฉันจะติดต่อกลับไป” เจ้าหน้าที่ตอบด้วยสีหน้าที่เฉยชา บอกบุญไม่รับเหมือนเดิม (แถมแววตาดูถูกอีกตะหาก เห็นแล้วอยากจะรำฟ้อนเล็บแล้วต่อด้วยแม่ไม้มวยไทยให้ดูจริงๆ) ตอนหลังไปเจอกับเพื่อนๆ คนไทยที่เรียนโรงเรียนเดียวกันหลายคน บอกว่ามีปัญหาเดียวกัน คือเจ้าหน้าที่ชอบทำหน้าบอกบุญไม่รับเหมือนกับว่าจะไปขอเงินเค้าใช้ยังงั้นแหละ มีพี่อยู่คนนึงโทรมาร้องไห้กับเจ้าของโรงเรียนว่ามาไม่ได้ เพราะวีซ่าไม่ผ่าน ภาษาอังกฤษก็พูดไม่ค่อยจะได้ต้องให้นักเรียนไทยไปคุยจนได้ความว่าวีซ่าไม่ผ่าน เจ้าหน้าที่บอกว่าอายุเยอะแล้ว ไม่คิดว่าจะไปเรียน ป๊าด!! ให้มันได้อย่างนั้น!! ฟังแล้วของขึ้นอย่างแรง

กลับมาเรื่องวีซ่าต่อ หลังจากนั้นก็รอ รอ รอ ผ่านมาสองอาทิตย์ก็แล้ว เข้าอาทิตย์ที่สาม ไม่มีการติดต่อกลับแต่อย่างใด ฉันทำอะไรผิดตรงไหนเนี่ย หรือว่าผิดที่ไม่ได้เกิดมาเป็นเศรษฐี มีนามสกุลดัง อะไรๆ มันก็เลยไม่ง่าย ตั๋วเครื่องบินก็ซื้อแล้ว จะบินอยู่อาทิตย์หน้าแล้วเนี่ย วีซ่าก็ยังไม่ได้ เราก็โทรไปหาคุณเจ้าหน้าที่ ได้คุยบ้าง ไม่ได้บ้าง เกือบจะถอดใจแล้ว แต่ด้วยความกรุณาของคุณเจ้าหน้าที่ (ที่เพี่งจะมี) ผ่านวีซ่าให้วันสุดท้าย (บินวันรุ่งขึ้น) ตอนโมง4เย็น แล้วสถานทูตปิด 5 โมงเย็น มีการบอกให้รีบๆ มาด้วยนะ ไม่เอาไม่พูดแล้ว บ้านอยู่จรัญฯ สถานทูตอยู่ถนนวิทยุ คิดดูจะให้บินไปหรือไงเจ๊ ดีนะที่รถไม่ติดเลยไปทัน

ตอนหลังก็ได้มาค้นพบว่า ถ้าคุณเอาวีซ่าไปให้พวก agency ทำให้นั้นง่ายกว่าหลายสิบเท่า หรือจะให้เค้าติดต่อโรงเรียนให้ด้วยก็ได้ แต่ในกรณีที่คุณติดต่อโรงเรียนด้วยตัวเอง ก็ให้เตรียมหลักฐานให้พร้อม กับเงินสดอีก 1,000บาท แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าเท่าไหร่แล้ว แล้วก็กลับไปนอนตีพุงรอที่บ้านได้เลย ไม่เกินสามวันคุณก็จะได้วีซ่ามา โดยที่ไม่ต้องไปเองให้เสียอารมณ์ เสียเวลาและเสียสายตา

เอาล่ะ!!! ในที่สุดก็ได้ไปซักที การไปต่างประเทศครั้งแรกในชีวิตกับภาษาอังกฤษที่มีอย่างจำกัด เอาวะ ไปตายเอาดาบหน้า วันรุ่งขึ้น ก็ไปสนามบิน เอากระเป๋าไปชั่ง เค้าจะให้ประมาณ 20 kg สำหรับ economy class น้าหนักดันเกินไป3 กิโล ตามปกติแล้วเค้าจะคิดเงินเพิ่มตามน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น โลละประมาณ 500บาท แต่ด้วยความเมตตาและเห็นใจของคุณเจ้าหน้าที่ ที่เห็นว่าเราจะไปเรียน เลยอนุโลมให้ รอดไปไม่เสียตังค์

พอใกล้เวลาก็สั่งลาพ่อแม่พี่น้องที่มาส่ง คิดๆ ไปใจก็หาย หลังจากที่เดินเข้าประตูไปแล้วก็จะเหลือเราแค่คนเดียว กลัวไปหมด ตอนนี้ยังไม่เท่าไหร่ แต่ตอนไปต่อเครื่องที่สิงคโปร์นี่ฉันจะรอดไหมเนี่ย ถ้าตกเครื่องล่ะก็ เหอๆ พอขึ้นไปนั่งบนเครื่องบินก็คิดหวั่นๆ ดันไปคิดถึงหนังสยองทั้งหลายแหล่ ที่เกี่ยวกับเครื่องบินตก ว่าแล้วก็ยกมือขึ้นพนมกับหลวงปู่ที่แม่ให้มา “ ขอให้ลูกรอดไปอย่างปลอดภัยด้วยเถิด สาธุ ”

ก่อนเครื่องจะออกพนักงานบนเครื่องก็มาอธิบายอะไรก็ไม่รู้ แต่ก็เดาได้ว่าเป็นทางออกฉุกเฉินอยู่ตรงไหน กับวิธีใช้ร่มชูชีพ พออธิบายเสร็จพวกนางก็เดินมาตรวจความเรียบร้อยอีกครั้งหนึ่ง ซักพักเครื่องบินก็เริ่มออก ลาก่อนเมืองไทย ฉันจะไป New Zealand แล้ว

จากกรุงเทพถึง Christchurch airport ใช้เวลารวมประมาณ 12 ชั่วโมง หรือมากกว่านั้น ส่วนมากจะต้องไปเปลี่ยนเครื่องที่ใดที่หนึ่ง อาจจะเป็น Singapore หรือ Auckland นั่งไปก็เกร็งไป ถ้าคุณบินกับ Singapore airline คุณก็จะโชคดีหน่อย เพราะว่าคุณจะมี TV ส่วนตัว สามารถดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกมได้แบบไม่ต้องเกรงใจใคร อาหารบนเครื่องก็จะมีหลายตัวเลือก ปลา เนื้อ ไก่ หมู และตบท้ายด้วยของหวาน อาจจะเป็น ผลไม้รวมหรือไม่ก็ไอศกรีม

พอถึงตอนนอน ก็หลับๆ ตื่น ๆ เครื่องบินตกหลุมอากาศทีก็สะดุ้งที เป็นแบบนี้ไปตลอดจนถึงสิงคโปร์ พอเครื่องจอดปุ๊บเราก็เดินไปหาประตูที่เราจะต้องขึ้นเครื่องก่อนเลยว่าอยู่ตรงไหนจะได้ไม่พลาด พอมีเวลาเหลือก็ไปเดินดูของในสนามบิน และ ที่ Duty free สินค้าปลอดภาษี แต่อย่าเดินจนเพลินล่ะ ใกล้เวลาแล้วไปรอที่ประตูทางออกดีกว่า กลับขึ้นเครื่องอีกที คราวนี้ใช้เวลาบิน อย่างน้อย 10 ชั่วโมง นั่งๆ นอนๆ กินๆ บนเครื่องจะมีบอกตลอดว่า ใช้เวลาบินไปเท่าไหร่แล้ว และต้องบินอีกนานเท่าไหร่และเวลาปลายทางนั้นช้าหรือเร็วกว่ากี่ชั่วโมง พอใกล้จะถึงแล้วก็อย่าลืมปรับนาฬิกา

ว้าว อีกไม่กี่นาทีเราก็จะได้เหยียบผืนแผ่นดินที่ได้ชื่อว่าสวยที่สุดแห่งหนึ่งในโลกแล้ว ตื่นเต้นจริงๆ เลย ฟิน เครื่องค่อยๆ บินผ่านกลุ่มเมฆลงไป มองลงไปจากหน้าต่างก็เริ่มจะมองเห็นภูเขาบ้างแล้ว ตอนที่ไปนั้นเป็นหน้าหนาวพอดี จึงได้เห็นภูเขาสีขาวปกคลุมไปด้วยหิมะเหมือนกับภาพวาดเลย พอเครื่องลงอีกก็จะเห็นพื้นที่สีเขียวมากมาย แบ่งเป็นสี่เหลี่ยมๆ สีเขียวเข้มอ่อน ต่างกันไปเหมือนกับเอาสนามกอล์ฟเป็นพันๆ มาต่อกัน

พอเครื่องลงใกล้พื้นดินอีกนิด ก็จะเห็นจุดสีขาวๆ เต็มไปหมด เอ๊ะ อะไรหว่า โอ้ว!! มันคือบรรดาฝูงแกะนั่นเอง คนที่นี่เค้าจะนิยมเลี้ยงแกะกันมาก ถือว่าเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของประเทศนี้เลยก็ว่าได้ อีกไม่ถึงอึดใจเครื่องก็ลงจอดสนิท และแล้วก็ถึงซักที ….New Zealand ดินแดนในฝัน

ตอนที่ 2… โดนค้นที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง

พอลงจากเครื่องแล้วไปทางไหนต่อเนี่ย มองป้ายก็แล้ว ซ้ายทีขวาที เอาไงดีวะเนี่ย อาศัยเดินตามคนอื่นไปดีกว่า จนไปถึงที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง ด่านนี้เค้าก็จะตรวจ passport กับ visa ใครตรวจเสร็จไม่มีปัญหาก็เดินตรงผ่านด่านออกไปรับกระเป๋าได้เลย พอมาถึงตาเราเค้าก็ตรวจดูเอกสาร ตรวจไปมองหน้าไป เราก็คิดในใจ เอาแล้วสงสัยงานจะเข้าแน่เลยกรู แล้วก็เข้าจริงๆ ด้วย ฮือๆ

เค้าก็บอกให้ไปเอากระเป๋ามา แล้วมานั่งรอเจ้าหน้าที่ที่ห้องตรวจค้น โอ๊ยๆๆ ซวยโคตร มันใช่เวลาไหม เอาจริงๆ ก็ทำใจมาบ้างแล้วนะว่าเป็นผู้หญิงไทย ก็อาจจะต้องมีปัญหา อย่างที่หลายๆ คนทราบว่า มีหญิงไทยมากมายมาทำไม่ดีไม่งามที่นี่ ตายแน่ที่นี้ฉัน ฟังเค้าพูดก็ไม่ค่อยจะทันอยู่แล้ว ทีนี้ต้องให้มานั่งตอบคำถาม ขอตายแป๊บ !!!!

ซักพักก็มีเจ้าหน้าที่มาหา เป็นคุณลุงแก่ หน้าตาใจดี พุงใหญ่ๆ เหมือนลุงที่ยืนอยู่หน้า kfc เลย แต่ก็ยังกลัวอยู่ดี จะเอาหนูไปทำอะไร แงๆ พอแกมาถึงแกก็ยิ้มให้และทักทายอย่างเป็นมิตร แหม ช่างแตกต่างกับใครบางคนที่ไทยอย่างสิ้นเชิง ทำให้อาการเกร็งลดลงไปบ้าง แกก็พาเราเข้าไปในห้องแล้วก็ค้นกระเป๋าเราอย่างละเอียดมากๆๆๆ ทุกซอกทุกมุม ถ้าแกแยกกระเป๋าเป็นชิ้นๆ ได้ แกคงทำไปแล้ว ตอนเก็บกระเป๋า เก็บตั้งหลายวัน พับมาอย่างดี ป๊าดด

แต่ตอนแกรื้อแค่แป๊ปเดียวเอง รื้อๆๆ เจอสมุดบันทึกแกก็ยังจะเปิดดู คงจะรู้เรื่องหรอก ภาษาไทยทั้งนั้นลุงเอ๊ย ตรวจเสร็จก็ไปนั่งคุยที่โต๊ะ แกถามไปก็พิมพ์เก็บข้อมูลไป คำถามก็จะเป็นประมาณว่า มาทำไม มาเรียนอะไร โรงเรียนไหน เรียนคอร์สอะไร จะอยู่ถึงเมื่อไหร่ ตอนอยู่ไทยทำอะไรบ้าง เรียบจบแล้วคิดจะทำอะไร จะอยู่ต่อไหม ตั้งใจจะมาทำงานหรือป่าว

นี่คือเท่าที่จำได้นะเนี่ย ยังมีอีกเยอะ แล้วแกก็อธิบายให้ฟังว่า student visa เนี่ยทำงานไม่ได้นะ มันผิดกฎหมาย สงสัยจะมีคนแอบทำเยอะ แกเลยเน้นเป็นพิเศษ เราก็ yes, no, ok ไป เข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง สงสารเค้าด้วย ต้องมาสัมภาษณ์เรา ต้องพูดซ้ำไปซ้ำมา เวลาผ่านไปชั่วโมงกว่าๆ ก็เสร็จเรียบร้อย พอเสร็จลุงแกก็ถามว่าจะไปไหนต่อ แล้วจะไปยังไงต่อ?? อี้งไปชั่วขณะ present , present perfect , is am are +v.1ing อันไหนวะ

แล้วก็ตอบลุงไปว่า เออ …someone come เอ้ย coming here to เออ… see me ..no no!! to pick me up ร้องไห้ เราอยากจะบอกว่ามีคนจะมารับหนูค่า แกคงจะเข้าใจเลยพาเราไปที่เค้ารับผู้โดยสารกัน มองไปมองมาก็ไม่เห็นมีใครเลย ลุงแกก็แสนจะใจดีอยู่กับเราตลอด รอซักพักก็ไม่มีใครมารับ บอกตรงๆ ตอนนั้นก็เริ่มจะมองหาที่นอนแล้ว ซอกหลืบตรงไหนพอจะแอบนอนได้บ้าง เผื่อไม่มีใครมารับ โถๆๆๆ… ชีวิตหนอชีวิต จากอกพ่ออกแม่มาครั้งแรก จะต้องมานอนสนามบินแล้วหรือเนี่ย #ร้องไห้หนักมาก

ลุงแกคิดว่าคงจะหาไม่เจอกันง่ายๆ ลุงเลยขอชื่อ นามสกุลเราไป ชื่อคนไทยก็อ่านยากใช่เล่น P.. A.. R.. I.. C.. H.. เฮ้ด ลุงทําหน้างง hed.. what? ลุงแกก็ส่งปากกามาให้ เราก็เขียน H ลุงก็ โอ้ว เอชชู่ #นํ้าตาตกในเงิบ แล้วแกก็ไปประกาศออกไมค์ ตึง ตึ่ง ตึง ตึ๊ง เหมือนในห้างบ้านเราเลย ไม่รู้ว่าจะภูมิใจหรือจะอายดี ถึงนิวซีแลนด์วันแรกก็มีคนประกาศชื่อออกไมค์ที่สนามบินซะแล้ว บ่งบอกถึงอนาคตอันสดใส

รออยู่ซักครึ่งชั่วโมงก็เห็นป้าแก่ๆ คนหนึ่งมากับลุงเจ้าหน้าที่ ก็ปรากฏว่า ป้าคนนี้คือ host mum (เจ้าของบ้านที่เราจะไปอยู่ด้วย) ของเรา ป้าบอกว่าป้ารอนานมาก ไม่เห็นออกมาซักที ก็แน่ล่ะ เล่นตรวจซะละเอียดขนาดนั้น มันก็ต้องนานแหละป้าจ๋า แล้วป้าแกก็บ่นๆ อะไรอีกไม่รู้ ฟังไม่ค่อยทัน แต่จับได้คร่าวๆ ว่าเรื่องค่าจอดรถหรือไงเนี่ย แล้วก็จะต้องขับรถไปอีก 2 ชั่วโมงกว่าจะถึงเมืองTimaru พอถึงแล้วจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้ แต่ก็สู้ตายค่ะ

Timaru เป็นเมืองขนาดกลาง หน้าติดทะเล หลังเป็นภูเขา สวยมาก หิมะตกในเมืองบ้าง หลายปีจะตกซักที แต่ถ้าอยากสัมผัสกับหิมะก็ขับรถมาซักชั่วโมงครึ่งก็จะถึง Lake Tekao

เมือง Timaru มีทุกอย่างที่เป็นสิ่งจำเป็น Supermarket, School, Hospital , Movie max, Airport etc.พลเมืองประมาณ 30,000 คน อยู่กันอย่างเงียบๆ สามทุ่มก็ปิดบ้านนอนกันหมดแล้ว ร้านค้าทั่วไปในเมืองก็ปิดตั้งแต่ห้าโมง นอกจากร้านที่ขายเหล้า ก็จัดว่าเป็นเมืองที่น่าเบื่อถ้าจะต้องอยู่นานๆ แต่ก็รับประกันความสวย ว่าสวยมากๆๆ


ชอบ บทความ มัชรูมทราเวล ทำไงดี…?
1.กดแชร์ต่อ ให้เพื่อนอ่านบ้าง
2. คลิก Like และ ติดตามเราได้ที่ Facebook

www.facebook.com/mushroomtravel/

นิวซีแลนด์ ..ลุยเดี่ยว เรียน เที่ยว ทำงาน was last modified: May 26th, 2022 by Editor.Mushroom Travel
Exit mobile version