Mushroom Travel

South Vietnam – ฉบับ “ลุยๆ” แต่ “ไม่ลำบาก”

เที่ยวดาลัด

ครั้งนี้มัชรูมทราเวลได้รับเกียรติจาก Guest สุดพิเศษ ที่จะมา รีวิวเวียดนาม เที่ยวดาลัด มุยเน่ และโฮจิมินห์ ใครกำลังว่าแผนจะไปเที่ยวเวียดนามใต้ มาดูไว้เป็นแนวทางกันค่ะ


South Vietnam – ฉบับ “ลุยๆ” แต่ “ไม่ลำบาก”

จุดเริ่มต้นของทริปนี้เกิดขึ้นในระหว่างที่รถติด ผมก็หยิบไอโฟนขึ้นมาเล่นเฟสบุ๊ค ก็เจอเพื่อนแชร์ทริปไปเวียดนาม หลังจากนั้นผมก็รู้สึกว่าต้องไปแล้วล่ะ ไอ้ประเทศนี่ พอกลับถึงบ้านก็เลยรีบหาเพื่อนร่วมทริป ก็มีเพื่อนสองคนที่จองตั๋วไปแล้ว เลยขอจอยทริปแล้วก็จองตั๋วในวันนั้นเลยพร้อมกับเพื่อนอีกคนนึง ไปๆ มาๆ กลายเป็นว่าผมเป็นผู้ชายคนเดียวซะงั้น

เราได้ตั๋วถูกกว่าเพื่อนเกือบพันทั้งๆ ที่จองทีหลัง โดนขาไปเป็น Lion Air ไฟล์ทตี 5 ส่วนขากลับเป็น Air Asia ไฟล์ท 6 โมงเย็น ตกประมาณคนละ 2,200 บาท

Day 1

วันแรก ขึ้นเครื่องจากดอนเมืองไปถึงโฮจิมินห์ประมาน 7 โมงเช้า เราเดินออกจากตม.มา ก็ต้องซื้อซิมก่อน เพราะเรามาคนละไฟล์ทกับเพื่อนที่จองมาก่อน จะได้ติดต่อกันได้ แต่ซิมน่าจะเป็นอะไรที่จำเป็นสำหรับทุกคน เดินออกมาเลี้ยวซ้ายสุด จะเจอเคาเตอร์สีฟ้า vinaphone เราซื้อซิมไป 175.000 VND ใช้ได้ 5 GB พอได้ซิมแล้วก็เดินออกมาข้างนอกเพื่อจะเข้าเมืองไปตลาดเบนถัน

การเข้าเมืองมี 2 วิธี วิธีแรกคือรถบัส มีรถบัส 2 สาย รถบัสสีเขียว 152 จะอยู่หลัง Burger King ราคา 5.000 VND แต่ว่าต้องระวังอย่าไปวางกระเป๋าที่พื้นไม่งั้นเค้าจะคิดเงินเพิ่ม ให้วางไว้บนตักจะดีที่สุด ส่วนอีกสายคือ บัสสีเหลืองเลข 109 ราคา 20.000 VND คันนี้จะแพงกว่าแต่สบายกว่าจะวางของอะไรยังไงก็ได้ นั่งรถไปประมาณ 30 นาทีก็ถึงวงเวียนหน้าตลาด

อย่างแรกคือเราต้องไปจองรถบัสที่จะเดินทางไปดาลัดคืนนี้ เราก็เดินไปที่ฟามงูเหลา ซึ่งเป็นแหล่งรวมรถบัสและที่พัก ประมาน 5 นาทีจะเจอกับ vietsea ที่มีไฟกระพริบยั่วยวนให้เข้าไปมั่กๆ แสดงว่าคุณถึงฟามงูเหลาแล้ว คุณจะซื้อที่นี่เลยก็ได้ แต่สำหรับสายประหยัดอย่างพวกเรา ต้องตรงไปอีกครับ ไปซื้อที่บริษัทรถโดยตรงชื่อ FUTA BUS ซึ่งราคาจะถูกว่า vietsea แต่จะฝากกระเป๋าไม่ได้ เราได้ตั๋วมาในราคา 130.000VND ต่อคน ทีนี้รถเราออก 5 ทุ่ม เพราะฉะนั้นกระเป๋าที่มีอยู่น่าจะเป็นปัญหามาก ในการเดินเที่ยววันนี้ พวกเราสองคนเลยตัดสินใจไปหาโรงแรมที่จะเก็บกระเป๋าและอาบน้ำคืนนี้ เราเดินหาอยู่สักพัก ก็ไปเจอที่นึงที่ราคาโอเคและไม่ไกลมากจากท่ารถ ซึ่งถัดไปอีก 2 ซอย ชื่อ Saigon Hotel โดยราคาอยู่ที่ 20 USD เรท half day จริงๆ เราสามารถต่อรองกับพนักงานได้นะครับ 4 คนตกอยู่ที่คนละ 5 USD ซึ่งถือว่าถูกมากๆ เพราะได้เป็นห้องที่เก็บของ มีเตียง และห้องน้ำสะอาด เอาหละหลังจากที่เราเก็บของทำธุระส่วนตัวกันเสร็จกันประมาณ 10 โมงเช้า ก็ถึงเวลาออกเดินทาง

อย่างแรกที่เราคิดกันคือเราจะไม่ใช้ขนส่งสาธารณะใดๆ ทั้งสิน ด้วยการศึกษามาอย่างดีว่าคุณมีโอกาสโดนโกงสูง เพราะฉะนั้นเราจึงตัดสินใจว่าจะใช้สองเท้าของเราเป็นยานพาหนะ ยังเดินออกมาไม่ถึงไหน ก็มีสามล้อเดินมาถามว่าจะไปมั้ย คำตอบมีอยู่ในใจแล้วครับ No No No! พร้อมกับส่ายหัวแล้วเดินหนีไป

จุดหมายแรกของเราในวันนี้คือร้านทองที่เราจะเอาเงินไปแลกนั่นเอง อย่างที่บอกไปข้างบนว่าร้านทองจะให้เรทที่ดีที่สุด เดินไปทางตลาดเบนถัน จะเจอร้าน Pho 2000 ให้เดินตรงมาเรื่อยๆ ร้านจะอยู่ตรงหัวมุมตรงข้ามทางเข้าตลาด สังเกตุง่ายๆ จะมีคนยืนรอบร้านเต็มไปหมด หลังจากที่แรกเงินเรียบร้อยแล้ว เราจะไม่ใช้ USD แล้ว จะใช้แต่ VND เพราะว่าเรทจะดีที่สุด จุดหมายถัดไปของเราคือ ดูจากแผนแล้วเราตัดสินใจจะเดินเป็นวงกลมเพื่อให้กลับมาที่เดิม เราเดินตาม maps ไปเรื่อยๆ ตามรูปครับ

จนมาถึง Notre Dame เราเริ่มรู้สึกว่า ไม่ไหวแล้ว หิวมากกกก พร้อมกับขาสองข้างที่ลากกับพื้น เราจึงตัดสินใจเดินไปหาอะไรกิน สุดท้ายหลังจากเรื่องร้านอยู่นานก็จบลงที่ร้าน Pho 2000 ที่ผ่านมาตอนเช้านั่นเอง ส่วนเมนูที่กินก็มีตามนี้นะครับ ในราคา หลังจากที่กินเสร็จพร้อมกับความเหน็จเหนื่อย เราคิดว่าจะไปที่สุดท้ายก่อนที่จะเข้าโรงแรมไปพัก ก็คิดว่าน่าจะเป็น Ho Chi Minh Fine Art Museum เพราะว่าใกล้โรงแรมมากที่สุด พอเดินไปถึง ก็ต้องจ่ายค่าเข้า 16.000 VND ที่นี่ไม่ผิดหวังจริงๆ ครับสำหรับคนชอบถ่ายรูปอย่างพวกเรา ทุกมุมที่นี่แค่หยิบกล้องขึ้นมาก็สวยแล้ว

หลังจากที่เดินถ่ายรูปกันอยู่นาน ฟ้าฝนก็เริ่มทำท่าจะตก พวกเราเลยตัดสินใจเดินกลับโรงแรม ระหว่างทางกลับฝนก็ตกจริงๆ พอมาถึงโรงแรมพวกเราก็รีบอาบน้ำ ด้วยความเหนื่อยที่สะสมมา แค่ครึ่งวันพวกเราก็สลบไปเกือบ 2 ชั่วโมง จนกระทั่งถึงเวลาที่เพื่อนของเราควรจะถึงเวียดนามแล้ว แต่ก็พบกับเรื่องที่ซวยตั้งแต่ต้นทริปครับ สายการบินเจ็ทสตาร์ที่เพื่อนนั่งมานั้น ดีเลย์ไป 3 ชั่วโมง จริงๆต้องออกบ่ายโมงครับ แต่นี่สี่โมงแล้วยังไม่ออกจากไทย พวกเราก็เลยนอนต่อรออยู่ในห้อง จนหกโมงสองคนนั้นก็มาถึง ความซวยยังไม่หมดเท่านี้ครับ เพื่อนสองคนที่ตามมานั้นถูก Jetstar เทครับ ต้องเลื่อนวันกลับไปอีกหนึ่งวัน

แล้วก็ออกไปหาข้าวกินใกล้ๆ โดยสองคนที่มาถึงให้โจทย์พวกเราว่า กูจน ขอร้านที่ประหยัดที่สุด เพราะต้องอยู่ต่ออีกหนึ่งวัน ยากเลยล่ะครับทีนี้ หลังจากที่กินข้าวเสร็จก็พาเพื่อนสองคนกลับไปที่ห้องพร้อมกับอาบน้ำเตรียมตัวเดินทางคืนนี้

หลังจากผลัดกันอาบน้ำก็เก็บของเช็กเอาท์แล้วก็ไปนั่งรอที่ท่ารถ โดยที่พวกเราถึงที่ท่ารถประมาณสี่ทุ่มซึ่งเป็นเวลาที่เค้าเขียนไว้ในตั๋ว โดยเร็วกว่าเวลารถออก 1 ชั่วโมง ซักประมาณสี่ทุ่มครึ่งก็มีรถตู้มารับ ตกใจกันยกใหญ่เพราะคิดว่าจะเดินทาง 6 ชั่วโมงด้วยรถคันนี้ แต่ว่ารถตู้พาไปที่ท่ารถอีกทีครับเพื่อพาไปขึ้นรถบัสนอน หน้าตาแบบนี้ ที่ขึ้นรถบัสพวกเราก็ถอดรองเท้าใส่ถุงพร้อมกับเดินไปที่เตียงของตัวเองที่ระบุเลขเอาไว้ พอรถออกพวกเราก็หลับเตรียมพร้อมสำหรับเช้าวันถัดไป

แต่หลับไปไม่ทันไรความซวยก็มาเยือนอีกแล้วครับ รถเสียครับ แต่คนขับรถดูจะเย็นมากและไม่ตกใจ เดินไปหยิบกล่องเครื่องมือไปซ่อมรถด้วยความเชี่ยวชาญ รอไปอยู่ประมาณชั่วโมงรถออกไม่ได้ครับ เวลาประมาณตีสองรถก็ออกเดินทางต่อ เราก็รับกันต่อ สำหรับวันนี้ก็จบเพียงเท่านี้ครับ เพียงแค่วันแรกก็มีความซวยถึง 3 เรื่องเข้ามาแล้ว วันที่เหลือจะรอดไหมเนี่ย


Day 2

เวลาประมาณตีสี่พวกเราก็มาถึงท่ารถที่ดาลัด บรรยากาศมืดสนิท พอลงจากรถเท่านั้นแหละครับ หนาวมาก ยืนสั่นกันอยู่สี่คนรอรถที่จะเข้าเมือง รถที่จะพาของเราเป็นของบริษัท Futa Bus ที่นั่งมานั่นแหละครับ พอขึ้นรถก็หยิบโทรศัพท์ให้คนขับรถดูว่าจะไปลงที่ไหน ซึ่งชื่อว่า Memory Hostel คนขับพยักหน้ารับทราบ พวกเราเดินขึ้นรถ พอรถออกไปได้ 5 นาที รถก็เบรค คนขับตะโกนบอกว่าถึงแล้ว พวกเราสี่คน ก็งงกันใหญ่ว่าทำไมถึงเร็วมาก มองไปทางโรงแรมที่คนขับชี้ไป ?!? Melody Hostel ผิดที่ครับลุง พวกเราก็ได้แต่บอกว่า No No No ! นั่นไงแค่เริ่มวันใหม่ก็มีเรื่องมาอีกแล้ว เราจึงตะโกนบอกว่าไป cho dalat แต่ก่อนจะถึงพวกเราก็ตัดสินใจลง 1 ป้ายก่อนตามที่แมพบอก รอบตัวพวกเรามืดสนิท เดินไปเรื่อยๆ ตามแมพ เอาเข้าให้แล้วครับ ทางตัน นับตั้งแต่ตื่นมายังไม่มีอะไรดีๆ เลยครับ สุดท้ายพวกเราต้องเดินอ้อมไปกว่ากิโลเพื่อจะถึงโฮสเทลในเวลาหกโมงเช้า พอถึงที่พัก เค้าบอกว่าเปิด 24 ชั่วโมง ที่พวกเราเห็นตรงกันข้ามครับ เค้าปิดประตูใส่ซะงั้น เราก็ขอเรียกกันอยู่พักใหญ่ จนมีรีเซฟชั่นหนุ่มชาวเวียดนาม ตื่นแล้วมาเปิดประตูให้ด้วยความงัวเงีย ความเหน็ดเหนื่อยของพวกเรา จึงขอเช็กอิน แล้วของีบสักพักก่อนที่จะเริ่มเที่ยวในวันนี้

ตื่นขึ้นมาอีกที 10 โมงเช้าครับ เราก็เดินลงไปข้างล่างเพื่อทำการเช่ามอเตอร์ไซค์ แล้วได้มอเตอร์ไซค์เกียร์ออโต้มาสองคันครับ พร้อมกับคนที่ขี่มอเตอร์ไซค์เป็นแค่คนเดียว ซึ่งนั่นไม่ใช่ผมครับ แต่ด้วยความจำเป็น ผมจึงต้องขี่ให้เป็นวันนั้นเลยครับ

เที่ยวดาลัด จุดหมายแรกของวันนี้ก็คือ ร้านที่ทาง hostel แนะนำมา พวกเราก็จัดการ ออกแวะไปเติมน้ำมันและเดินทางไปที่ร้าน ถึงร้าน ปิดครับ …. ความซวยอีกแล้วครับ เราจึงเดินไปกินร้านที่อยู่ฝั่งตรงข้ามซึ่งรสชาติก็ใช้ได้เลย หลังจากที่กินกันอย่างอร่อย พวกเราก็พร้อมที่จะออกเดินทางไปจุดหมายแรก Lang Biang ซึ่งเป็นที่ที่ไกลที่สุดของวันนี้

ระหว่างทางไปกับคนขี่มอเตอร์ไซต์ไม่แข็งเป็นอะไรที่ลำบากมากๆ เลยครับ แค่ทางเรียบๆ ก็ไม่ค่อยจะรอดนะครับ อันนี้เป็นทางขรุขระและลูกรังเป็นยังไงล่ะ พังสิครับ ก้นนะครับไม่ใช่อะไร พอไปถึงลังเบียง มีค่าเข้า 20.000 VND พวกเราก็ถ่ายรูปกันอยู่สักพัก ก่อนที่จะนั่งรถขึ้นไปข้างบนได้รถ Jeep คันสีเขียว ราคาอยู่ที่คนละ 50.000 VND พอขึ้นไปเดินชมวิวกับซึมซับกับบรรยากาศดีๆได้ไม่ทันไร ฝนก็ตกครับ พวกเราจึงต้องรีบกลับไปขึ้นรถแล้วก็กลับลงมาข้างล่าง

เที่ยวดาลัด จุดหมายต่อไปคือ ทางผ่านก่อนที่จะกลับเข้าเมือง ชื่อ Thung Lung Vang ค่าเข้า 40.000 VND ครับ กับค่าจอดมอเตอร์ไซค์ 3.000 VND เดินเล่นกันอยู่ที่นี่สักพัก ก็ได้รูปสวยๆ มาเยอะอยู่เหมือนกัน เสร็จจากที่นี่

แพลนแรกคือจะไปที่ Valley of Love แต่ด้วยเวลาที่จำกัด เราจึงไปต่อกันที่โบสถ์ Domaine De Marie ชื่นชมบรรยากาศอยู่สักพัก

ชื่นชมบรรยากาศอยู่สักพักก็เริ่มหิวเลยตัดสินใจว่าจะกลับเข้าเมือง แต่พอออกมาจากโบสถ์ได้ไม่ถึง 5 เมตร ก็ต้องหยุดชะงักครับ กลิ่นหอมๆ ของพิซซ่าเวียดนามดึงดูดพวกเราให้หยุด อากาศหนาวๆ กับเตาอุ่นๆ ช่างเป็นอะไรที่เข้ากันมาก อร่อยมากๆ แนะนำว่าต้องลองให้ได้ครับ ราคาอยู่ที่เพียง 10.000 VND เท่านั้น

ต้องกลับเข้าไปที่ cho dalat หรือที่ตลาดกลางเมือง แวะหาอะไรกินนิดนิดหน่อยหน่อย และจุดเด่นของดาลัดก็คือ นมดาลัด นั่นเอง

เที่ยวดาลัด จุดถัดไปคือ Bao Dai Palace หรือ Summer Palace ของกษัตริย์องค์สุดท้ายของเวียดนาม หลังจากที่พระองค์ได้ย้ายไปพำนักที่ฝรั่งเศส พระราชวังแห่งนี้ก็กลายเป็น ที่พักของเจ้าหน้าที่พรรคคอมมิวนิสต์ และต่อมาก็กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ให้พวกเราได้เข้าเยี่ยมชม ค่าเข้า 15.000 VND

หลังจากเดินดูพระราชวังเสร็จ ก็ไป เที่ยวดาลัด ต่อกันที่สุดท้ายของวันนี้ครับ Crazy House ซึ่งเป็นบ้านที่มีสถาปัตยกรรมแบบแปลกๆ ที่นี่มีความสนุกสนานพร้อมกับความตื่นเต้น ให้เราได้เข้ามุดออกดูรูนั้นรูนี้พร้อมกับถ่ายรูปอย่างเพลิดเพลิน เล่นกันอยู่ในบ้านอยู่นานพระอาทิตย์ก็ตกซะแล้ว

เราก็ออกไปที่โชว์ดาลัด เพื่อกินอาหารเย็นในวันนี้ เรากินอาหารเต็มไปหมด พร้อมกับตบท้ายด้วยขนมหวาน ต่อมาเราก็เดินทางกลับไปที่โรงแรม นอนพักเตรียมตัวสำหรับเช้าวันใหม่และการผจญภัยในวันถัดไป


Day 3

รีวิวเวียดนาม วันที่ 3 ตื่นมาตอนเช้าวันนี้จุดหมายของเราไกลขึ้นไปอีก วันนี้เริ่มด้วยเฝอที่เป็นร้านดัง วันนี้เป็นวันฟ้ารั่ว ฝนตกตั้งแต่เช้า พวกเราก็ออกเดินทางไปที่น้ำตก Datanla Water Fall ค่าเข้า 20.000 VND พร้อมกับโรลเลอร์โคสเตอร์ให้เล่น โดยสามารถเลือกได้ 2 แบบ round trip 50.000 VND ส่วน one way 40.000 VND เดินเล่นถ่ายรูปอยู่แถวน้ำตกกันอยู่นาน ได้รูปมาเยอะมาก

พวกเราก็ไปต่อกันที่วัดเจ้าแม่กวนอิม ชื่อ Truc Lam Temple ก็เข้าไปไหว้พระในวัดพร้อมกับเดินถ่ายรูปอยู่สักพัก ฝนก็ตกลงมายกใหญ่ ก็คิดว่าจะกลับเข้าเมือง

แต่ระหว่างทางที่กำลังไปวัดก็หลงทาง แต่ดันมาเจอภาพนี้

ก็ถือว่ายังมีความโชคดีอยู่ในความซวย แต่ด้วยความที่ฝนตก ทำให้ถนนลื่นมากทำให้เวลาที่ใช้ในการขับเข้าเมืองนานมาก เราจึงไปไม่ทัน The French Quarter เลยคิดว่าจะแวะ Dalat Cathedral แทน แต่โบสถ์ก็ดันปิดอีก พวกเราจึงได้แค่ถ่ายรูปข้างหน้าแทน

สำหรับวันนี้ก็เป็นวันเบาๆ ของพวกเราที่จะต้องกลับไปพักผ่อน เพราะพรุ่งนี้ต้องออกเดินทางไปมุยเน่แต่เช้า แต่ก่อนกลับก็ไม่พ้นต้องแวะซื้อของกินที่ตลาดโชว์ดาลัด

ที่จริงในดาลัดยังมีอีกหลายที่เลยที่พวกเรายังไม่ได้เก็บ หากคุณผู้อ่านมีเวลา ก็แนะนำให้อยู่ เที่ยวดาลัด ต่ออีกซักสองสามวัน เพราะมีที่เที่ยวที่น่าเที่ยวเยอะมาก


Day 4

วันนี้เราออกเดินทางแต่เช้าจากดาลัดมามุยเน่ด้วยรถทัวร์ที่ซื้อจากโฮสเทล ในราคา 120.000 VND โดยที่รถจะมารับที่โรงแรมแต่เช้า พนักงานต้อนรับของโฮสเทลก็บอกว่ารถจะมาถึงตอน 7 โมงครึ่งแต่ให้เตรียมตัวไว้ พวกเราก็ลงมารอก่อนตั้งแต่ 6 โมงครึ่ง ผ่านไปประมาณ 15 นาทีรถก็มา พวกเราก็ถามว่าคันนี้ใช่มั้ย พนักงานก็ตอบว่าโนๆ พวกเราก็เลยกลับไปนั่งรอต่อ หลังจากตื่นเต้นนึกว่าจะได้ออกเดินทางแล้ว หลังจากเป็นแบบนี้ได้สี่ห้าคัน ก็ถึงเวลาที่รถของพวกเราจะมาจริงๆ แล้ว พอเริ่มออกเดินทางไปได้สักพักก็ต้องมาเจอกับความน่าปวดหัว เพราะเส้นทางมันคดโค้งมาก กินเวลากว่าครึ่งชั่วโมง จนประมาณเที่ยวกว่าๆ ก็มาถึง

พวกเราก็ไปซื้อทัวร์รถจี๊ป ในราคา 4 คน 700.000 VND และตั๋วสำหรับที่จะกลับไปโฮจิมินห์ในคืนนี้ ในราคา 110.000 VND พร้อมกับบอกว่าจะให้อาบน้ำได้ก่อนรถออกคืนนี้ ซึ่งถือว่าถูกมาก รถจี๊ปก็พาเราไปเที่ยวที่ต่างๆ

ก่อนที่พวกเราจะเริ่มออกเดินทางก็ต้องเติมพลังกันซะหน่อย ข้างๆ ที่ซื้อทัวร์ก็มีร้านอาหาร local อยู่ แต่พอเข้าไปปุ๊ปมีแต่ฝรั่งหัวทอง กับอาหารมังสวิรัติ พร้อมกับเจ้าของร้านที่เป็นผู้หญิงตัวผอม ที่ชอบจึ๊ปาก หลังจากกินกันอิ่มแล้วก็ถึงเวลาออกเดินทาง โดยที่แรกที่ไปคือ Fairy Stream เป็นลำธารน้ำสีส้มที่ต้องเดินระวังเพราะมีหลุมอยู่ตามหิน แต่พอไปถึงก็มีมุมสวยๆ ให้ได้ถ่ายรูปเยอะ

หลังจากนั้นพี่คนขับก็พาเรามาที่ Fisherman Village ซึ่งก็เป็นชายหาดที่มีเรือประมงลอยอยู่เต็มน่านน้ำ

ระหว่างทางก็มีฝรั่งนั่งมาเทียบข้างรถ พวกเราก็โบกมือให้แบบเฮฮา

หลังจากที่ไปสองที่นี้แล้วก็ถึงซิกเนเจอร์ของมุยเน่ซึ่งก็คือทะเลทราย White Sand Dunes ที่นี่มีให้เช่ารถจิ๊ปขับเข้าไปได้แต่พวกเราเลือกที่จะเดินเข้าไปใช้เวลาประมาณ 15 นาที ระหว่างทางก็ได้รูปสวยๆ มาเยอะมากกๆๆๆๆ เราใช้เวลากับการถ่ายรูปที่นี่อยู่พักใหญ่

จนออกเดินทางไปที่สุดท้ายคือ Red Sand Dunes แต่ด้วยความที่คนเยอะและพระอาทิตย์กำลังตกดินจึงไม่ค่อยน่าประทับใจเท่าไหร่

พอถึงตอนเย็นก็ได้เวลาอาหาร พวกเราก็ไปหาร้านอาหารกิน ที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องอาหารทะเลเพราะอยู่ติดทะเล ร้านมีให้เลือกเยอะแยะมากมายจนมาจบลงที่ร้านนึง เรากินกันไปเยอะมาก 700.000 VND ซึ่งถือว่าไม่แพงเลยสำหรับอาหารทะเลเยอะขนาดนี้

พอเสร็จแล้วพวกเราก็กลับไปที่ซื้อตั๋วเพื่อที่จะไปอาบน้ำ แต่ปรากฏว่าพนักงานทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ พวกเราก็หงุดหงิดนิดหน่อยที่โดนโกง แต่มันไม่ได้เสียหายอะไรมากเพราะค่าทัวร์กับค่าตั๋วรวมกันก็ถูกมากๆ อยู่แล้ว เราจึงต้องไปหาโรงแรม เพื่อที่จะเช่าสำหรับอาบน้ำแบบไม่กี่ชั่วโมงก่อนขึ้นรถออกเดินทางในตอนกลางคืน โดยที่เราได้ห้องในราคา 175.000 VND สำหรับนอนเล่นและอาบน้ำ พอถึงเวลาที่รถออกพวกเราก็นอนหลับปุ๋ยจากความเหนื่อยในการเดินทางมาทั้งวัน


Day 5

วันสุดท้ายแล้ว พวกเราถูกปลุกให้ตื่นประมาณตี 4 ว่าถึงแล้ว ทุกคนในรถดูงัวเงียมาก พวกเราก็เดินลงจากรถแบบง่วงๆ แล้วหลังจากนั้นก็ตัดสินใจกันว่าจะไปหาของกินที่ตลาด Ben Than

หลังจากกินเสร็จแล้วพวกเราก็เอาของไปฝากไว้ที่โรงแรมที่เพื่อนอีกสองคนที่โดนเลื่อนไฟลท์จองไว้ หลังจากนั้นพวกเราก็เดินไปเก็บตกกันที่ โบสถ์ Notre Dame, Post Office แล้วก็ City Hall เราแวะไปหาเพื่อนที่บินมาถึงเวียดนาม

พวกเราก็ไปหาเพื่อนที่ร้านเฝอร้านนึง นั่งคุยกันเรื่อยเปื่อย แล้วเพื่อนก็แยกย้ายไปโดยมันนั่งสามล้อทัวร์ที่มันซื้อมา หลังจากนั้นพวกเราก็ไปหาร้านเบเกอรี่นั่งกินขนม จนอยู่ดีๆ เพื่อนคนนั้นก็โทรมาว่า “เห้ย ! พวกแกอยู่ไหน เราโดนโกงแล้วมันไม่ยอมปล่อยเราไปถ้าไม่จ่ายเงิน” โชคดีที่เราอยู่ใกล้จึงรีบวิ่งไปหา ปรากฏว่าพวกมันหนีไปแล้วพร้อมกับเรียกงานเป็นล้านดอง เราก็เลยบอกพวกมันว่าไปเป็นไรนะ ต้องให้ระวัง หลังจากเรื่องราวจบพวกเราก็กลับไปเอาของที่โรงแรมแล้วเตรียมตัวออกเดินทางในตอนกลับสู่ประเทศไทย พวกเราไปอยู่รอรถอยู่ตรงตลาดนานมาก จนเพิ่งมารู้ตัวว่ายืนรอผิดฝั่ง พวกเราลุ้นมากเพราะว่าช่วงเย็นๆ ของเวียดนามนั้นเป็นช่วงที่รถค่อนข้างติด แต่พวกเราก็ไปถึงที่สนามบินพอดี สุดท้ายแล้วพวกเราถึงเมืองไทยโดยสวัสดิภาพ ทริปนี้เรียกได้ว่าพวกเราแทบจะไม่โดนโกงเลยเพราะอ่านรีวิวใน pantip มาเป็นอย่างดี ข้อมูลปึ๊ก ใครพูดไรเซย์โนหมด

สรุปแล้วสำหรับทริปนี้พวกเราใช้เงินไปคนละ 6,200 บาท (รวมตั๋วเครื่องบิน)

ขอบคุณ Guest สุดพิเศษ สมาชิกหมายเลข 1551410 สังกัด Pantip จากกระทู้ – South Vietnam – ฉบับ “ลุยๆ” แต่ “ไม่ลำบาก” ที่มา รีวิวเวียดนาม เที่ยวดาลัด มุยเน่ และโฮจิมินห์ กันแบบจัดเต็ม ได้รับเสียงปรบมือจากเราไปเลย!!
ระดับความน่าไป :
✩✩✩✩✩


ชอบ บทความ มัชรูมทราเวล ทำไงดี…?
1.กดแชร์ต่อ ให้เพื่อนอ่านบ้าง
2. คลิก Like และ ติดตามเราได้ที่ Facebook www.facebook.com/mushroomtravel/

—————

Mushroom Travel มีโปรแกรม ทัวร์เวียดนาม ให้เลือกมากที่สุด
โทร. 02-105-6234 (30 คู่สาย)
CustomerService@Mushroomtravel.com
Line id : @mushroomtravel

South Vietnam – ฉบับ “ลุยๆ” แต่ “ไม่ลำบาก” was last modified: May 9th, 2019 by Editor.Mushroom Travel
Exit mobile version