Mushroom Travel

เที่ยวญี่ปุ่น ฉบับมือใหม่ Japan White กุนมะ-นะงะโนะ

วันนี้เราจะไป เที่ยวญี่ปุ่น แช่ออนเซนกลางแจ้งที่มีชื่อว่า Takaragawa onsen ตั้งอยู่ที่เมืองมินาคามิ จังหวัดกุนมะกันที่นี่เป็นเมืองเล็กๆตั้งอยู่ทางตอนเหนือของโตเกียว ระยะทางประมาณ 164 กิโลเมตร เดินทางไปไม่ยาก โดยเรามีสองทางให้เลือกนั่นก็คือ นั่งชินคันเซ็นเร็วปรู๊ดจากโตเกียวไปลงที่สถานี Jomo-Koen แล้วรอรถของออนเซ็นไปรับตอนบ่ายสอง ส่วนอีกทางเลือกก็คือนั่งชินคันเซ็นไปสถานีทาคาซาคิ (Takasaki) แล้วต่อรถเจอาร์ท้องถิ่น (local) ไปลงที่สถานีมินาคะมิ แล้วรอรถของออนเซนมารับตอนบ่ายสองโมงแก่ๆ ส่วนใครที่อยากเช็คราคาสามารถเช็คได้จาก Hyperdia ได้เลย

โอว…มาถึงที่สถานีมินาคะมิ ก็เจอตุ๊กตาผ้าตัวใหญ่เท่าคนกันเลยทีเดียว

จริงๆ แล้วค่ารถกับเวลาเดินทางของทั้งสองแบบเรียกได้ว่าไม่ค่อยต่างกันเท่าไหร่ แต่ด้วยความเป็นมือใหม่ก็เลยเลือกเป็นแบบที่สอง เพราะอยากรู้ว่ารถไฟท้องถิ่นจะเป็นยังไง และความจริงแล้วแอบตื่นเต้นเล็กๆ เพราะว่านั่งชินคันเซ็นเป็นครั้งแรก แต่ก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ แต่พอเปลี่ยนมานั่งรถไฟท้องถิ่น มีคำถามจากคุณแฟนว่า อีกไกลมั้ย….ไปขุดที่เที่ยวมาจากที่ไหนเนี่ยเธอ ไกลขนาดนี้ ใครเค้ามาเที่ยวกัน เราเองเลยตอบไปอย่างไม่ลังเลว่า ก็ไปขุดมาจากแถวดาวเคราะห์สีน้ำเงิน (บลูแพลนเน็ต) เห็นเค้าว่าสวยกัน (ถ้าไปแล้วไม่สวยนี่ อิชั้นตายแน่ อิอิ)และแล้วในที่สุดเราก็มาถึงสถานีมินาคะมิกันในเวลาประมาณบ่ายโมงนิดๆ ยังมีเวลาเหลืออีกชั่วโมงกว่ารถของออนเซนจะมารับ (ทางออนเซนมีรถรับส่งแค่วันละ 1 เที่ยว ถ้าพลาดล่ะก็ ต้องหาแท็กซี่หรือนั่งรถบัสเข้าไปเอง) เป็นแบบนี้แล้วเราก็เลยเดินออกมาสำรวจรอบๆ สถานี ในบรรยากาศฝนลงเม็ดปรอยๆ เป็นการต้อนรับการมาเยือน โธ่ โธ่เพราะว่าฝนตกปรอยๆ ก็เลยทำให้อากาศยิ่งเย็นขึ้นไปอีก เราก็เลยตัดสินใจแวะร้านกาแฟหน้าสถานี โดยตั้งใจว่าจะนั่งจิบกาแฟและขนม แต่เพราะว่าวันนี้ทางร้านงดขายขนม จึงทำได้แค่เพียงนั่งจิบกาแฟมองสายฝนไปพลางๆเท่านั้น เจ้าของร้านใจดีกลัวพวกเราจะเหงา เลยลุกขึ้นมาเล่นอิเล็กโทนไฟฟ้าให้เราฟังไปพลางๆ เราเห็นรูปรถไฟชินคันเซ็นติดอยู่ที่ข้างฝาก็เลยชวนคุณลุงคุยเรื่องรถไฟ คุณลุงเลยแจกสติกเกอร์ให้เราเป็นของฝากอีกคนละใบด้วย พอรับมาแล้วไม่รอช้า เรารีบรื้อตุ๊กตาช้างตัวเล็กๆที่ซื้อติดกระเป๋ามาเป็นของที่ระลึกจากกรุงเทพฯ ให้คุณลุงกลับไปด้วย เค้าชอบอกชอบใจ โค้งแล้วโค้งอีก เสียดายที่เราพูดภาษาญี่ปุ่นไม่ได้ ไม่งั้นคงเมาท์กันยาวแน่

เวลา 14.45 น. รถของออนเซนมารับและพาพวกเราไปถึงที่พักตอนบ่าบสามกว่าๆ หลังจากเช็คอินและนัดแนะเวลาอาหารเย็นกับพนักงานแล้ว เราก็เข้าห้องพักเพื่อเก็บของและสำรวจที่ัพักกันค่ะ ที่นี่ต้อนรับพวกเราด้วยอุณหภูมิ 5 องศา ก่อนจะลดลงเหลือศูนย์องศาตอนหกโมงเย็น

ตอนทำรายการจองที่พัก เกิดอาการมือสั่นเล็กน้อย เพราะจองผ่าน Nippon Travel agency (http://search.ntainbound.com/nta_dom_e/) ในราคา 11,900 เยน/ คน/ คืน พร้อมอาหารสองมื้อ และทางเว็บไซต์เค้าตัดเงินเต็มจำนวนจากบัตรเครดิตทันที แอบคิดในใจ ถ้าแผนล่มนี่มีเฮแน่ๆ!!

เอาล่ะค่ะ….มาสำรวจห้องพักกัน!!
ได้ห้องหัวมุม ติดริมแม่น้ำ วิวงามมากค่ะ

คราวนี้ถึงเวลามาดูไฮไลท์ของที่นี่กันบ้างค่ะ ออนเซนกลางแจ้งนั่นเอง มี Rotenburo (บ่อออนเซนกลางแจ้ง) อยู่ 4 บ่อด้วยกัน แต่ละบ่อมีชื่อเรียกไพเราะเพราะพริ้งด้วยล่ะค่ะ สามบ่อแรกเป็นบ่ออาบน้ำรวม (อะจึ๋ย…) ส่วนอีกบ่อแยกไว้สำหรับผู้หญิงเท่านั้น

นี่คือบ่อแรก Hannya เป็นบ่อเล็กๆ อยู่ริมทางเดินพอดิบพอดี
ถัดมาจะเป็นบ่อชื่อว่า Maka

นี่คือ Maya เป็นบ่อเฉพาะของผู้หญิง ดูไม่ค่อยเร้าใจเลยเนอะ ไปตั้งแอบอยู่มุมๆ
บ่อสุดท้ายชื่อ Kodakara เป็นบ่ออาบน้ำรวมที่ใหญ่และเร้าใจสุดของที่นี่
แช่น้ำร้อนพร้อมกินลม ชมวิว คุณกล้าหรือป่าว…?!
ส่วนเราสองคน เดินดูลาดเลากันซักพักและกลับมาที่ห้องเพื่อทำใจก่อนนิดนึง แล้วตัดสินใจว่า เป็นไงเป็นกัน จูงมือกันไปลงบ่อแบบอาบรวมกันเถอะ ใครเห็นก็ช่าง เอาไปไม่ได้สักหน่อย แต่ทางออนเซนเค้าก็คงรับรู้ความไม่คุ้นชินกับวัฒนธรรมการแช่ออนเซนของนักท่องเที่ยวต่างชาติอย่างเราๆ ท่านๆ เค้าก็เลยอนุโลมให้ผู้หญิงสามารถนุ่งผ้าเช็ดตัวที่เค้าเตรียมไว้ให้เท่านั้น และห้ามใส่ชุดว่ายน้ำ ส่วนคุณผู้ชาย เค้าก็มีผ้าขนหนูเล็กๆ ให้ผืนนึง แล้วให้เราเลือกเอาเองว่าจะเอาไว้ปิดหน้าหรือปิดล่างดี อิอิ
กว่าเราจะรวบรวมความกล้ามาลงแช่กันได้ ก็เล่นเอานักท่องเที่ยวคนอื่นๆ เค้าเลิกแช่กันหมดแล้ว เห็นแบบนี้ไได้ทีเลยรีบแก้ผ้ากระโดดลงบ่อ แต่ก็ต้องร้องจ๊าก เพราะน้ำในบ่อมันร้อนมาก ลุกหนีแทบไม่ทัน แต่เราก็ยังไม่ยอมแพ้ เพราะมองไปมองมาไม้กั้นไว้อีกด้านของบ่อ ก็เลยลองเอาเท้าไปจุ่มดู เห็นว่าฝั่งนี้น้ำไม่ร้อนมากพอรับได้เลยรีบโดดลงไป

อา…การแช่ออนเซนตอนหนาวๆ อุณหภูมิศูนย์องศาแบบนี้ มันแบบสุขสุดๆจนไม่รู้จะบรรยายยังไงเลย

หลังจากแช่น้ำกันจนหนำใจไปประมาณ 30 นาที ท้องก็เริ่มส่งเสียงร้องจ๊อกๆ เลยกลับขึ้นมาแต่งตัวที่ห้องแล้วลงไปกินข้าวเย็นและได้เวลาพักผ่อนซ่อนตาดำกัน โดยตั้งใจว่าจะตื่นแต่เช้าไปเก็บภาพวิวรอบๆ ก่อนกินข้าว เริ่มต้นเช้าวันนี้ด้วยหิมะที่ตกปรอยๆ ไม่มีแดด แต่คุณแฟนเราก็หาที่จะสนใจไม่ จัดแจงเปลี่ยนเสื้อผ้าลงไปแช่ออนเซนตั้งแต่เช้า (แบบว่าเริ่มติดใจ) ส่วนตัวเราคว้ากล้องลงไปเก็บภาพบรรยากาศอย่างเดียว

Takaragawa Onsen เป็นออนเซนที่เก่าแก่ไม่น้อยเชียวค่ะ เริ่มก่อสร้างมาตั้งร้อยกว่าปีแล้ว ตั้งแต่ยุคไทโช (Taishō) ผู้คนสมัยนั้นมาแช่ออนเซนกันก็เพราะเชื่อว่ารักษาโรคได้ แต่ถ้ามองสภาพภูมิประเทศโดยคิดย้อนกลับไปสมัยร้อยปีที่แล้วนั้น อิชั้นคิดว่าคนที่ป่วยนี่อาจจะป่วยหนักกว่าเดิม เนื่องจากพื้นที่มีสภานพเป็นป่า น่าจะมีแต่รถขนไม้วิ่งเข้าออกเดินทางลำบากมาก จนเริ่มพัฒนามีการสร้างเขื่อน, ตัดถนน, มีไฟฟ้าใช้ ทำให้การเดินทางสะดวกขึ้นและผู้คนมาใช้บริการมากขึ้นในสมัยโชวะ หรือราวๆหกสิบปีที่แล้ว ทางออนเซนจึงมีการสร้างห้องหับเพิ่มขึ้นนั่นเอง
เวลาแห่งความสุขนี่มันช่างสั้นเสียจริงๆ ถึงเวลาต้องโบกมือบ๊ายๆ หลังจากดื่มด่ำกับบรรยากาศของที่นี่แล้ว ซึ่งทางโรงแรมก็มีรถบริการไปส่งที่สถานีมินาคามิ และJomo-Koen โดยรถจะออกตอนเก้าโมงครึ่ง ซึ่งขากลับวันนี้สังเกตได้ว่านักท่องเที่ยวเต็มรถ ถึงขนาดต้องนั่งเก้าอี้เสริมกันเลยทีเดียว คนข้างๆเราเริ่มงอแง ไม่อยากจะกลับ ถามเราว่าทำไมไม่ค้างอีกคืน เลยต้องควักใบจองโรงแรมขึ้นมาให้ดูราคา และตอบไปว่า ยิ่งอยู่หลายวัน ยิ่งเป็นอันตรายต่อเงินในกระเป๋าสตางค์เป็นอย่างยิ่งนะคะที่รัก คราวนี้เราคงต้องกลับไปเก็บเงินก่อน แล้วกลับมาใหม่วันหลังแทนนะ ถึงเวลาต้องบ๊ายบายออนเซนแห่งนี้จริงๆ และเราสองคนพร้อมใจกันโหวตให้ที่นี่เป็นที่พักยอดเยี่ยมแห่งทริปนี้ของเราค่ะ
รถของออนเซนมาส่งถึงสถานีมินาคามิตอน 10 โมงตรงเป๊ะพอดี เราจึงเข้าไปหยอดเหรียญที่ตู้เพื่อซื้อตั๋วรถไฟซึ่งคิดว่าจะรอรอบต่อไปแต่นายสถานีเดินออกมาโบกธง ทำไม้ทำมือถามว่าจะไปด้วยมั้ย เค้ารออยู่นะ เราก็เลยต้องรีบลากกระเป๋าขึ้นรถไฟเที่ยวนี้ (ก็เค้าอุตสาห์รอเรานี่นา) เป็นบรรยากาศแบบกันเองซึ่งหาได้แต่ในต่างจังหวัด นี่ถ้าเป็นในโตเกียว ก็คงโดนปิดประตูใส่หน้าไปแล้วล่ะค่ะ

ระหว่างที่นั่งดูวิวทิวทัศน์ข้างทางกันมาเรื่อยๆอย่างสบายใจ รถไฟก็มาหยุดที่สถานีแห่งหนึ่ง ซึ่งผู้โดยสารพากันลงรถกันไปหมด เราก็งง…อ้าวเค้าจะไปไหนกันละคะเนี่ย ถึงเราได้ยินเสียงประกาศบนรถ แต่ก็ฟังไม่รู้เรื่อง จึงตัดสินใจไปสะกิดถามคุณพี่ผู้หญิงญี่ปุ่นสองคนที่มาจากออนเซนพร้อมกับเรา ซึ่งเค้าก็พยายามจะอธิบาย เราได้ยินคำว่า บัสๆ ก็เข้าใจว่าเค้าให้ไปต่อรถบัส ก็วิ่งตามคนหมู่มากไปขึ้นรถบัสแบบหอบๆ เพราะกระเป๋าหนัก นั่งรถบัสใจตุ้มๆ ต่อมๆ กันมาพักนึง เค้าก็มาจอดให้ลงแล้วไล่ให้ไปขึ้นรถไฟอีกรอบ คุณพี่ผู้หญิงสองคนก็ใจดีมากเลย มาสะกิดให้เราเดินตามไปด้วย คงเป็นเพราะว่ากลัวเราไม่รู้เรื่อง ดังนั้น เมื่อมาถึงสถานีทาคาซาคิ (Takasaki) ที่จะเปลี่ยนไปนะงะโนะ เราก็เลยให้ตุ๊กตาช้างน้อยไปเป็นการขอบคุณ และบอกเค้าว่าเป็น elephant from Thailand เค้าดีอกดีใจใหญ่ (แอบทำหน้าที่โปรโมตประเทศไทยไปในตัว ช่วยททท.)
จากนั้นก็นั่งเจ้าอาซามะ (Asama) ชินคันเซ็นไปเที่ยว “นะงะโนะ” กัน
จากสถานีทาคาซาคิ (Takasaki) ไปถึงนะงะโนะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ซึ่งการเดินทางต่อจากนี้จนกระทั่งวันกลับพวกเราอยู่ในโหมดของความหนาวเย็นคือ -1 จนถึง 5 องศา เรียกได้ว่าอยากจะร้อง (บรื๋อๆๆๆๆ) กันเลยทีเดียว ดังนั้นวันนี้จะมาแนะนำวิธีรับมือกับความหนาวกันค่ะ
เ อ า ล่ ะ ค่ ะ ขอเปิดประเด็นกับหัวข้อที่ว่า “ไปเที่ยวหนาวๆ ขนาดนี้แต่งตัวยังไง ใส่อะไรถึงจะเอาอยู่…?!”
ขอออกตัวก่อนเลยว่า เราเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบและไม่ทนกับอากาศหนาวเลยล่ะค่ะ และก่อนมานี่ยังกังวลใจอยู่พอสมควรว่าจะเตรียมเสื้อผ้ายังไงดี ถ้าเอาไปเยอะ แน่นอนกระเป๋าต้องหนัก แถมเสื้อผ้ากันหนาวดีๆ ก็ไม่ใช่ว่าถูกด้วย แต่ถ้าจะเอาไปน้อยก็กลัวว่าจะไม่พอใส่อีก ซึ่งสุดท้ายเราตัดสินใจเตรียมเสื้อผ้าจากกรุงเทพฯไปบางส่วน และไปซื้อเพิ่มเอาที่โตเกียวอีกบางส่วนค่ะ                                                   ขอเริ่มกันที่ฝ่ายหญิงกันก่อน มาดูกันว่าใส่ทั้งหมดกี่ขั้นตอน !!ท่อนบน
1. ชั้นในสุดเป็นเสื้อ T-shirt Heat-tech ซื้อสีแป๋นแหล๋นเลยค่ะ ส้มกับชมพูเอาไว้เปลี่ยนกัน
2. ถัดมาเป็นเสื้อยืดแขนยาวคอเต่า
3. ทับด้วยเสื้อ fleece แบบมีซิปหน้า
4. ตามด้วยเสื้อแหนม ultra-light down jacket
5. ยังไม่สาแก่ใจ วันที่หนาวสุดๆ ก็เพิ่ม jacket wind wall ไปอีกตัว ของ The North Face
6. สุดท้ายเผื่อเหลือเผื่อขาด ซื้อ overcoat ขนเป็ดเพิ่มที่ญี่ปุ่นอีกตัวราคา 2,900 เยน ตัวนี้มีความยาวคลุมสะโพกทำให้ช่วงล่างอุ่นขึ้นค่ะ
ท่อนล่าง
7. Legging สารพัดอย่างจากกรุงเทพฯ แต่สุดท้ายไปซื้อเพิ่มที่ญี่ปุ่นเป็น legging แบบไหมพรม ตัวนี้อุ่นดีมากค่ะ ชั้นนอกเป็นกางเกงผ้าแบบหนา
8. วันที่หนาวสุดเราใส่กางเกงแบบลุยหิมะของ North Face สีชมพูแหววสุดชีวิต
9. อุปกรณ์อื่นๆ ได้แก่ หมวกไหมพรมกับผ้าพันคอ
10. ผ้าพันคอผืนเก่าแก่ซื้อจากแม่สาย อุ่นเหลือเฟือ ใช้คุ้มกับค่าตัวละร้อยกว่าบาท
11. ถุงเท้าแบบสั้นและยาว วันไหนหนาวมากก็ใส่ซ้อนสองชั้น
12. ถุงมือ ปัญหาอยู่ที่นี่เอง เพราะคู่ที่เราเตรียมไปไม่ค่อยอุ่นเท่าไหร่ อาศัยเดินล้วงกระเป๋ามั่ง ไปซุกรักแร้คนข้างๆ มั่งพอเอาตัวรอดได้
13. ชิ้นสุดท้ายคือรองเท้า เราใส่ผ้าใบไปจากกรุงเทพฯ คิดว่าจะไปหาซื้อบูทเพิ่มเอาข้างหน้า
14. บูทสีม่วงของ North Face คู่นี้ สอยมาจากตลาด Ameyoko ราคา 10,500 เยน ความจริงตอนอยู่เมืองไทยไปดูที่ช้อปมาหลายรอบ แต่ทำใจซื้อไม่ได้เพราะราคาห้าพันอัพทั้งนั้นแถมไม่ค่อยมีแบบให้เลือกด้วย พอมาญี่ปุ่น มีให้เลือกตรึมเลย

                                                                  ต่อกันที่เครื่องกันหนาวของฝ่ายชายกันบ้าง              เนื่องจากคุณผู้ชายเค้าเป็นคนขี้ร้อนค่ะ อุปกรณ์กันหนาวก็เลยน้อยกว่าของเรา มาดูกันค่ะ ว่ามีอะไรกันบ้าง
ท่อนบน
1.ในสุดใส่เสื้อยืดแขนยาวคอเต่า สีแปร๋นไม่แพ้กัน
2. ทับด้วยเสื้อยืดแขนสั้นและตามด้วยเสื้อกั๊ก ultra-light down
3. โปะด้วยเสื้อแจ็คเก็ตของ Lee ตัวนี้เป็นเสื้อสองชั้นถอดแยกออกจากกันได้ ชั้นในสุดเป็น fleece วันไหนไม่ค่อยหนาวก็ถอดออกชั้นนึง
ท่อนล่าง
4. Long johns Heat-tech ใส่กับกางเกงผ้าหนาๆ
5. วันหนาวสุดใส่กางเกงแบบลุยหิมะของ Columbia
6. อุปกรณ์อื่นๆ ได้แก่ หมวกไหมพรมกับที่อุ่นคอ มีประโยชน์มากในวันที่หิมะตกแรงๆ เพราะใช้คลุมหน้าได้ด้วย
ถุงเท้า จะใช้เป็นถุงเท้าใส่เล่นกีฬาแบบหนาๆ อาศัยใส่หลายชั้นซ้อนกัน
7. ถุงมือมีเพื่อนๆ กันบริจาคมาให้ค่ะ เป็นถุงมือหนัง อุ่นใช้ได้เลย
8. รองเท้า ใส่ผ้าใบมาจากรุงเทพฯ เหมือนกัน
9. สอยรองเท้าหุ้มข้อของColumbia มาจากตลาด Ameyoko มาได้ในราคา 8990 เยน
สรุป โดยรวมถือว่า เสื้อผ้าที่เตรียมไปถือว่าพอเพียงค่ะ ไม่มีอาการหนาวสั่นงันงกเกิดขึ้นแต่อย่างใด ผ่านนนน !!!ในเมื่อเสื้อผ้าพร้อมแล้ว เราก็มาลุยกันต่อเลยค่ะ หลังจากนั่งเจ้าอาซามะ (Asama) ชินคันเซ็นเร็วปรู๊ดข้ามจากจังหวัดกุนมะซึ่งอยู่ภูมิภาคคันโต มาที่สถานีนะงะโนะซึ่งอยู่ในภูมิภาคจูบแล้วนั้น เราก็จัดแจงลากกระเป๋าเดินเพื่อไปต่อรถไฟสาย Nagaden เพื่อไปยัง

สถานี Yudanaka ซึ่งจะว่าไปแล้ว รถไฟสายนี้มีด้วยกันหลายชื่อเชียวล่ะค่ะ
ถ้าดูจาก Hyperdia จะเขียนว่า Nagano Electric Railway
ส่วนที่สถานีเจอาร์จะมีป้ายชี้บอกว่าไปสถานี Nagano Dentetsu
เดินไปเรื่อยๆ จะเจอป้ายบอกทางเขียนว่า Nagaden
อย่างงนะคะ เพราะทั้งหมดนี้คือเจ้าเดียวกันหมดค่ะ

ซึ่งรถไฟสายนี้จะมีแบบด่วนกับแบบธรรมดาซึ่งจะจอดทุกสถานี และถ้าเป็นแบบด่วนนั้นจะให้บริการแบบไม่ถี่มาก ซึ่งเราขี้เกียจรอแบบด่วนก็เลยซื้อตั๋วแบบธรรมดาไปในราคา 1,230 เยน สำหรับระยะทางตั้งแต่นะงะโนะไปยังยูดานากะนั้นเป็นระยะทางประมาณ 33 กม. ซึ่งก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับเราค่ะ เพราะวันนี้ท้องฟ้าใสสวยมาก นั่งดูวิวกันเพลินเลยค่ะ
แต่นั่งไปนั่งมา เผลอแป็บเดียวคนลงกันหมด ทั้งขบวนเหลือแค่เราสองคนเท่านั้น อิอิ โลกเป็นของเราแล้วละทีนี้ !!
ท้องฟ้า อากาศไม่เป็นใจเอาซะเลย ตอนเดินทางท้องฟ้าสดใส แต่พอเดินเที่ยวเท่านั้นหล่ะ หิมะตกซะงั้น…!!
เรามาที่นี่เพื่อเยี่ยมบ้านของลิงหิมะในเขตเทศบาล Yamanouchi แต่นอกจากที่เที่ยวสุดฮิตอย่างบ้านเจ้าจ๋อแล้ว ก็ยังมีออนเซนสุดฮอตที่ชื่อว่ายูดานากะและ Shibu อีกด้วย และแน่นอนหน้าหนาวแบบนี้จะขาดสกีรีสอรท์ไปไม่ได้ Shiga-Kogen เป็นสกีรีสอร์ทขนาดมหึมาเอาไว้ดึงดูดนักท่องเที่ยวในหน้าหนาว มาถึงนี่แล้วเราขอเลือกพักกันที่เรียวกัง Yudanaka Seifuso จองได้ในราคา 4,935 เยนต่อคนต่อคืน (ราคานี้ไม่รวม city tax อีก 150 เยนต่อคนต่อคืนนะคะ) เหตุผลที่เลือกพักที่นี่ก็เพราะว่าใกล้สถานีรถไฟ (เริ่มไม่ไว้ใจกับสภาพอากาศ กลัวไปติดพายุหิมะ กลับบ้านไม่ได้) เจ้าของเรียวกังที่นี่ให้การต้อนรับเราเป็นอย่างดีค่ะ พาเราไปดูห้องออนเซนหลายๆแบบในที่พัก พร้อมกับหยิบแผนที่เมืองและตารางรถบัสมาให้
                                                                                       เอาล่ะ ขอสำรวจห้องพักกันก่อนออกไปเดินเล่นกันสักหน่อยดีกว่า
ห้องนอนกว้างขวางดี ห้องน้ำสะอาดและโล่งโปร่งสบาย ไม่มีห้องอาบน้ำในห้องพักนะคะ ต้องลงไปอาบที่ออนเซนเอา

ดูห้องพักเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทีนี้ก็ได้เวลากางแผนที่แล้วออกไปสำรวจเมืองยามเย็นกันแล้วล่ะค่ะ เราเดินเลียบถนนมาเรื่อยๆ จนมาถึงวัด Baio แล้วเห็นตุ๊กตาตั้งเรียงเป็นแถว น่ารักมากค่ะ ไม่รู้ว่าคืออะไร อ่านป้ายไม่ออกไฮไลท์ของที่นี่น่าจะเป็น Yukeburi Jizo หรือเทพธิดาปกปักสายน้ำตามความเชื่อของคนที่นี่ ซึ่งส่วนใหญ่จะถูกนำไปตั้งไว้บริเวณบ่อน้ำร้อน โดยมีความเชื่อว่าหากใครนำผ้าชุบน้ำจากบ่อน้ำร้อนมาลูบบนตัวของเทพธิดา ก็จะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดและทำให้อายุยืนได้ สำหรับนักท่องเที่ยวอย่างเราที่เดินทะเล่อทะล่าเข้ามาไม่ได้เตรียมผ้าผ่อนอะไรกันมา เลยได้แต่ยกมือไหว้อย่างเดียวค่ะ

หิมะเริ่มตกหนักแล้ว แสงแดดหายไปอย่างรวดเร็ว เราแวะหาข้าวเย็นกินกันก่อนเดินกลับที่พัก และตั้งใจว่าพรุ่งนี้จะไปเยี่ยมเจ้าจ๋อแห่งสวนจิโกคูดานิกันค่ะ ก่อนที่จะเข้านอนก็ไม่ลืมที่จะเปิดเน็ตเช็คสภาพอากาศ ทำให้รู้ว่าพรุ่งนี้มีแนวโน้มที่หิมะจะตกหนักทั้งวัน เราเลยเตรียมเสื้อผ้ากันแบบจัดเต็มกันค่ะ
เรียวกังที่เราพักจัดว่าเป็นธุรกิจครอบครัว ค่าห้องจะถูกกว่าเมื่อเทียบกับโรงแรมเปิดใหม่หลายๆแห่ง บริการแบบใจดีเป็นกันเอง อย่างเช่นวันนี้เราออกจากโรงแรมตอนสายๆ ตอนแรกตั้งใจว่าจะเดินไปขึ้นรถบัสที่สถานียูดานากะ แต่เจ้าของบ้านพักก็อาสาขับรถไปส่ง เค้าพอพูดภาษาอังกฤษได้ เราก็เลยมีโอกาสพูดคุย ซักถามกันนิดหน่อย เค้าเล่าให้ฟังว่า เพิ่งไปติดต่องานที่กรุงเทพฯมาเมื่ออาทิตย์ก่อน คนไทยน่ารักดี แต่อากาศร้อนไปหน่อย (ไม่หน่อยละค่ะ ร้อนมาก) เราคิดว่าความเล็กๆ และเป็นกันเองแบบนี้ เรียดได้ว่าเป็นจุดขายที่น่ารักเลยทีเดียว (ว่าแล้วก็ต้องกลับไปเขียน คอมเมนต์ในบุคกิ้งดอทคอมให้เค้าหน่อย เป็นกำลังใจให้คนทำงาน)
ในที่สุดก็มาถึงทางเข้าอุทยานลิงแล้ว ท่าทางพยากรณ์อากาศจะแม่นมาก เพราะหิมะตกโปรยปรายตลอดเวลา ดูสิคะ…ขาวโพลนเชียว

ถึงหิมะจะตกหนักแค่ไหน แต่นักท่องเที่ยวก็ไม่ท้อค่ะ มากันเต็มเลย

ความจริงแล้วในประเทศญี่ปุ่น ไม่ได้มีออนเซนที่มีลิงแค่เฉพาะที่นี่ที่เดียว แต่จุดขายของที่นี่ที่ทำให้ใครๆก็อยากมาก็คือ การที่ลิงลงไปแช่ในออนเซน พูดเลยว่ามีแค่ที่นี่หล่ะค่ะ

จากบทสัมภาษณ์ของ The Guardian โดยคำบอกเล่าของผู้ดูแลสวนลิงที่นี่ได้ความว่า เมื่อก่อนบริเวณนี้มีโรงแรมเล็กๆตั้งอยู่ชื่อว่า Korokan ซึ่งมีบ่อออนเซนกลางแจ้งตั้งอยู่ แล้วบรรดาลูกลิงซนๆก็วิ่งเล่นรอบๆ บ่อทุกวันจนวันนึงมันก็ลงไปแช่ในบ่อ ซึ่งทำให้เกิดพฤติกรรมลอกเลียนแบบและกลายเป็นธรรมเนียมปฎิบัติของลิงฝูงนั้น ตั้งแต่นั้นมา แต่ปัญหามันก็มีตามมาเหมือนกันค่ะ เพราะเจ้าจ๋อทั้งหลายมักจะชอบปล่อยทุ่นระเบิดออกมาด้วย ทางเจ้าของโรงแรมก็เลยต้องจัดหาที่ทางให้ลิงแช่โดยเฉพาะ เพื่อสุขอนามัยที่ดีของทั้งคนและลิงนั่นเองค่ะ

                                                                                 มาดูอะไรกันจ้ะเธอ ไม่เคยเห็นลิงรึไง


ไม่ใช่ว่าลิงที่นี่จะรักการแช่ออนเซนกันทุกตัวนะคะ ลิงที่ไม่ชอบก็มี ก็เลยมากระจุกตัวแก้หนาวแบบนี้หล่ะค่ะ

บางตัวก็ทำตัวแปลกๆ มาซุกไม้อยู่แบบนี้

สงสัยกันบ้างมั้ยล่ะคะ ว่าเจ้าลิงพวกนี้เวลาไม่อยากแช่ออนเซนเค้าจะไปที่ไหนกัน ฝูงนึงก็ไม่ใช่น้อยๆ 160 กว่าชีวิตกันเลยนะคะ คำตอบก็คือ อาศัยอยู่ในป่าแถวๆนี้หล่ะค่ะ

ถึงแม้ว่าหิมะจะหนักขึ้นเรื่อยๆ แต่นักท่องเที่ยวก็ยังไม่ลดละที่จะเก็บภาพกันค่ะ
ส่วนเราทั้งสอง ขอโบกมือลาก่อน เพราะหิมะตกหนักมากแบบไม่มีท่าทีว่าจะหยุด หิวข้าวจนทนไม่ไหวก็เลยยอมเสียตังค์ซื้อร่มเดินลงมา ซึ่งตอนแรกตั้งใจว่าจะไปสกีรีสอร์ท Shiga-Kogen กันต่อ แต่เพราะว่าหิมะตกหนักมากจนมองอะไรแทบไม่เห็น ก็เลยเปลี่ยนใจกลับที่พักเพื่อหาอะไรรองท้องกันก่อน ขอแนะนำว่าใครจะไปเที่ยวที่นี่ ติดของขบเคี้ยวไปหน่อยก็ดี เพราะข้างบนไม่มีของกินขายค่ะ   อาหารกลางวันมื้อนี้ก็เลยต้องพี่ง Lawson เพราะขี้เกียจเดินหาร้านอาหารกัน

พอกินเสร็จแล้วก็นั่งจิบชาร้อนพักผ่อนกันอยู่ในห้อง จนบ่ายแก่ๆ หิมะเริ่มเบาลง ก็ได้เวลาคว้ากล้องออกมาสำรวจเมืองกันอีกรอบ โดยขอเดินไปอีกด้านนึงแทนนะคะ ภาพต้นไม้ไร้ใบ กับฉากหลังเป็นภูเขาสีเทา ดูแปลกตาดีสำหรับคนมาจากเมืองร้อน (มาก) อย่างเรา เจ้าของเรียวกังที่เราพักบอกว่า ต้นไม้ไร้ใบนี่คือ ต้นแอปเปิ้ลล่ะค่ะ เพราะพื้นที่ของจังหวัดนะงะโนะ ส่วนใหญ่จะทำการเพาะปลูกแอปเปิ้ล และเรียกได้ว่าเป็นแหล่งปลูกแอปเปิ้ลที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้

เราเดินย้อนกลับมาทางด้านสถานีรถไฟ ตรงบริเวณด้านหน้ามีออนเซนเท้าอยู่ด้วยนะคะ เผื่อใครเดินมาเมื่อยๆ จะแวะแช่เท้าเพื่อผ่อนคลาย ก็สามารถค่ะ เชิญได้เลย

วันนี้สำรวจกันมาพอสมควรแล้ว เราจึงเดินกลับที่พัก เพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วลงไปแช่ออนเซนกันค่ะ จริงๆแล้วที่นีมีออนเซนกลางแจ้งอยู่บ่อนึงแต่มันเล็กๆเอง เราเลยขอเข้าไปแช่บ่อผู้หญิง น้ำร้อนมากค่ะ หย่อนขาลงไปแล้วแทบกระโดด ลองเปิดน้ำเย็นลงไปซักพัก ดีขี้นนิดนึง บ่อออนเซนที่นี่เค้าจะเอาแอปเปิลมาลอยไว้ เพื่อให้น้ำมีกลิ่นหอม (แอบสงสัยว่า…ถ้ามีคนแอบกินนี่ เจ้าของเค้าจะรู้รึป่าวนะ :P)
พออาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ก็ลงมานั่งรอกินข้าว เพราะวันนี้เราสั่งอาหารเย็นกับทางที่พักไว้ค่ะ เป็นอาหารเย็นที่มื้อใหญ่อลังการสุดๆ กินกันเป็นชั่วโมงๆ เพราะเยอะมากๆ มีทุกอย่างทั้งปลาดิบ, ปลาย่าง, เทมปุระ, ซุป, สลัด สารพัดอย่าง แต่ที่ประทับใจสุดๆก็คือแม่ครัว คุณน้าเดินมาบอกว่าให้เรารอปลาดิบ จากนั้นเธอก็เดินไปเปิดหน้าต่าง หยิบจานปลาดิบนอกหน้าต่างเข้ามาให้เรา ชี้ไม้ชี้มือว่า วางไว้ข้างนอกเย็นๆ จะได้อร่อยๆ…. โหคิดได้ไงคะเนี่ย!!
เหนือสิ่งอื่นใดก็คือไฮไลท์ของมื้อนี้…อยู่ที่เนื้อย่างค่ะ เพราะเป็นเนื้อที่มีมันปนนิดๆ วางมาบนเตาย่าง พูดเลยว่านุ่มมากๆ เจ้าของบ้านแอบกระซิบว่ามันคือเนื้อ Shinshu ต้นกำเนิดมาจากวัวพันธุ์วากิว (Wagyu) ความพิเศษก็คือโดนจับเข้าคอร์สเลี้ยงด้วยแอปเปิล (ถึงตอนนี้เราเชื่อแล้วค่ะว่า เมืองนี้เค้ามีแอปเปิ้ลมากมายมหาศาลจริงๆ) การเลี้ยงวัวด้วยแอปเปิ้ลนั้นเชื่อกันว่าจะทำให้เนื้อมีรสหวานและนุ่ม ถือเป็นคู่แข่งสำคัญของเนื้อโกเบได้มั้ยค่ะเนี่ย…?
อา…กินอิ่มแล้ว เราก็ขอลงไปจ่ายเงินค่าห้องและค่าอาหารเลยนะคะ ค่าอาหารที่นี่เค้าคิดต่อคน เราสองคนจ่ายไป 6,000 เยน ซึ่งถ้าจะให้เทียบกับคุณภาพอาหารที่กินไปแล้วนั้น ถือว่าสมเหตุสมผลเลยล่ะค่ะ เราแจ้งเจ้าของว่าจะเช็คเอาท์ออกแต่เช้า เค้าก็เลยไปเอาแอปเปิลสดๆ กับพวงกุญแจรูปเจ้าจ๋อแช่ออนเซนมาแจกเราคนละอัน เพื่อไม่ให้เป็นการเสียชื่อทูตวัฒนธรรมจากประเทศไทย เราก็เลยต้องวิ่งไปเอาตุ๊กตาช้างมาแจกคืน เค้าตื่นเต้นใหญ่ เรียกพ่อแม่ออกมาดูกัน (ไม่รู้จะติดใจตามไปดูของจริงที่เมืองไทยหรือป่าว…??)
ขอปิดฉากการ เที่ยวญี่ปุ่น สองเมืองนี้ด้วยความประทับใจ พร้อมๆกับแอบส่งความปราถนาดีและกำลังใจไปให้เจ้าของออนเซนเล็กๆแห่งนี้ ให้ยืนหยัดต่อสู้กับโรงแรมทุนหนา ที่ดาหน้าเปิดกันเป็นดอกเห็ดด้วยนะคะ สวัสดีค่ะ

เที่ยวญี่ปุ่น ฉบับมือใหม่ Japan White กุนมะ-นะงะโนะ was last modified: March 9th, 2016 by Editor.Mushroom Travel
Exit mobile version