Mushroom Travel

สวิส – อิตาลี เที่ยวเอง ไปกันเอง 14วัน 11คืน (part Italy)

มาติดตามกันต่อกับรีวิว อิตาลี เที่ยวเอง จาก Guest สุดพิเศษกันต่อ หลังจากที่ได้ไปชมที่เที่ยวสวยๆ ในสวิตเซอร์แลนด์แล้ว คราวนี้จะไปต่อกันที่อิตาลี ตามไปลุยกันได้เลยค่ะ


สวิส – อิตาลี เที่ยวเอง ไปกันเอง 14วัน 11คืน (part Italy)

จากความเดิมตอนที่แล้ว สวิส อิตาลี – แพลนเอง ไปกันเอง 14วัน 11คืน ที่ผมมาแชร์เรื่องราวและรูปการท่องเที่ยว สวิส ของผมและภรรยาไปแล้ว วันนี้เรามาต่อกันในตอนของ Italy กันบ้างครับ และก็ตามสัญญา ตอนท้ายจะลงค่าใช้จ่ายไว้ให้นะครับ
part Switzerland – คลิก

มาต่อกันที่วันที่ 6 ของการเดินทาง อิตาลี เที่ยวเอง 

วันนี้พวกเราออกจาก Interlaken แล้วจะนั่งรถไฟไป Venice วันนี้ยังใช้ Swiss Pass นั่งฟรีได้ถึงสถานี Domodossola โดยการเดินทางในสวิสผมไม่ได้ทำการจองที่นั่ง

วันที่เดินทางทั้งคนทั้งกระเป๋าเดินทางล้นมาก พวกเราต้องวางกระเป๋าบนพื้นไม่ใช่บนชั้นวางระหว่างขบวน ดีที่ติดตัวล็อคจักรยานไปด้วยเลยใช้คล้องไว้กับราวจับได้ เรื่องที่นั่งเนื่องจากระบบรถไฟสวิสไม่จองที่นั่งอยู่แล้วเลยนั่งๆตรงที่ว่างไปก่อน กะว่าพอถึง Domossola ค่อยเปลี้ยนที่นั่งให้ตรงกับในส่วนของอิตาลีจะเป็นตั๋วระบุที่นั่ง แต่ปรากฎว่าไม่เห็นใครย้ายที่นั่งกัน ผมก็เลยเนียนนั่งที่เดิมยาวไป มีนายตรวจตั๋วมาเช็คเค้าก็ไม่ได้ว่าเรื่องที่นั่ง ผมซื้อตั๋วรถไฟจาก Domodossola ถึง Milan ไว้เพราะอยากแวะ Duomo ที่ Milan แป้บนึง แล้วซื้อตั๋วจาก Milan ไป Venice อีกที

พอถึงสถานีก็หาที่ฝากกระเป๋าในสถานีกันก่อนจะนั่งใต้ดินไปที่ Duomo ช็อคกับคิวฝากกระเป๋ามากๆ ยาวประมาณ 40 นาทีได้กว่าจะได้ฝาก ค่าฝาก 6 ยูโรได้ 5 ชั่วโมง ค่าเข้า Duomo คนละ 3 EUR แบบไม่ได้ขึ้นข้างบน เดินเล่นเสร็จก็มาเอากระเป๋าคืนแล้วนั่งรอขบวนรถมา ทั้งคนทั้งกระเป๋ามากันตรึมเลยครับเต็มทั้งขบวน รอบนี้ได้วางบนชั้นระหว่างขบวน อิตาลีคงมีความน่ากลัวอยู่จริงๆ ระหว่างวางโทรศัพท์ที่ชาร์จไว้บนที่นั่งระหว่างเดินทาง คนตรวจตั๋วยังทำท่าทางบอกให้ระวังของด้วยนะ แถมยังเห็นป้ายเตือนเป็นระยะตามสถานที่ต่างๆ ขาไปเวนิส ซื้อแบบ premium economy ไว้เลยมีแจกน้ำฟรีกับขนม 1 ห่อด้วย ลากกระเป๋าเดินไม่ถึง 5 นาทีก็ถึงที่พักครับ อาจจะหายากหน่อยแต่ถ้าดูเลขที่บ้านก็ไม่พลาด ทางขึ้นเป็นแค่บันไดแคบๆ และชัน กว่าจะเอากระเป๋าขึ้นไปได้ก็เหนื่อยและทุลักทุเลหน่อย แต่เจ้าของเค้าก็ยินดีช่วยยกขึ้นมาครับ วางกระเป๋าเสร็จก็เดินเล่นแถวนั้น และซื้อตั๋วเรือแบบ 1 วันไปล่วงหน้าเลย ตั๋วจะมีอายุ 24 ชั่วโมงนับจากครั้งแรกที่ใช้

มื้อเช่ากินของที่แพ็คจากที่พัก Interlaken ส่วนมื้อกลางวันเข้าร้านอาหารแถว Duomo มื้อเย็นจบด้วยมาม่าตามสเตปครับ

พักที่ SOGNARE A VENEZIA B&B ที่พักอยู่ฝั่งเวนิสเลยครับ ทั้งหมด 2 คืน (คืนละ 70 EUR บวก city tax อีกคืนละ 6 EUR) รวมอาหารเช้า

วันที่7 

วันนี้ไปเดินเล่น Burano ก่อนตอนเช้า กลับ Venice รอบ 11.00 แล้วเดินไป Rialto และ San Marco ต่อ จากนั้นก็กลับมานั่งพักเก็บแรงที่ห้องแล้วห้าโมงเย็นค่อยออกไปใหม่รอถ่ายรูปช่วงพระอาทิตย์ตก ที่เวนิสนี่ไม่มีอะไรมากครับผมไปแค่เกาะ San Marco ดูเมืองมันคล้ายๆกันหมด แนะนำว่าถ้าใครมาเองก็ซื้อตั๋วเรือเหมาวันไว้ใช้ครับคุ้มค่า เดินเมื่อยๆ ก็นั่งเรือแทนได้ อาหารเช้าที่นี่เป็นแค่ครัวซองกับกาแฟ 1 แก้ว ตรงร้านเล็กๆหัวมุมทางขวามือของที่พัก มื้อกลางวันกินร้านอาหารแถว Rialto bridge ครับ ส่วนมื้อเย็นผมซื้อพิซซ่าถูกๆชิ้นละ 2.5 EUR กิน ส่วนภรรยาผมกินมาม่า

วันที่8

วันนี้เราแวะกินข้าวเช้าฟรีก่อนเช็คเอาท์ออกจาก Venice พวกเราวางกุญแจห้องคืนอยู่ในห้องแล้วลากกระเป๋าออกมาเลย กว่าจะเอากระเป๋าลงมาบนถนนได้ลำบากน่าดูครับ ค้องค่อยๆ เอาลงมาทีละใบ รถไฟไป Florence เราซื้อรอบ 9 โมงไว้ล่วงหน้าแล้วครับเป็นของ Italo ที่วางกระเป๋าระหว่างขบวนเต็มครับ เจอแก๊งคนจีนมากัน 10 กว่าคน เลยต้องยกกระเป๋าวางไว้ข้างบนหัว กระเป๋าพวกเราไซส์ 28 นิ้วก็ยังวางได้ ปัญหาคือยกขึ้นไปไหวหรือเปล่าเท่านั้นครับ นั่งมาสองชั่วโมงก็ถึง Florence แล้วครับ พอไปถึงก็กะจะฝากกระเป๋าไว้ที่พักแต่ห้องพักว่างแล้วเลยได้เข้าไปนั่งพักในห้องพอดีและค่อยออกมาเดินเล่นในเมืองทีหลัง

ค่าเข้า Duomo คนละ 15 EUR ปรากฎว่าคิวเข้าโดมเต็มไปจนวันจันทร์หน้าครับ หลัง Easter day คราวนี้เลยไม่ได้ขึ้นโดม ไม่คิดว่าคนจะเยอะขนาดนี้ลยไม่ได้ซื้อออนไลน์มาก่อน คิวที่รอขึ้น tower ก็นานมากครับต่อคิวราวๆ 1 ชั่วโมงกว่าเกือบๆ 2 ชั่วโมงได้ ขึ้นบันได 400 กว่าขั้นเราจะได้ชมวิวที่ต้องการ วันนี้ถือว่าเป็นความผิดพลาดเลยครับ **แนะนำว่าให้ซื้อออนไลน์แล้วจองเวลาขึ้นมาเลยครับ ไม่งั้นจะเสียเวลาและยืนเมื่อยแบบผม เสร็จจากนี้ก็ให้เวลาภรรยาเดินช้อปปิ้งซะหน่อยครับ หลังจากนั้นก็เดินเล่นแถว Palazzo Vechio และ Ponte Vecchio ต่อก่อนจะวกกลับไปหาร้านข้าวเย็นแถวที่พัก แล้วปลีกตัวแยกกับภรรยาไปถ่ายรูป Duomo ตอนกลางคืนเป็นการปิดท้าย

มา อิตาลี เที่ยวเอง อาหารเช้าฟรีที่เวนิส อาหารเที่ยงเป็นมาม่า อาหารเย็นจัดเต็มที่ร้านอาหารแถวบ้านครับ

พักที่ Novella House ทั้งหมด 3 คืน (คืนละ 60 EUR รวม city tax เป็น 65 EUR) ไม่มีอาหารเช้า แต่มีเครกเกอร์และน้ำผลไม้ขวดเล็กให้ทุกวัน


วันที่9

วันนี้สลับไป San Gimignano+Siena แทนเพราะสภาพอากาศวันนี้ที่ Cinque Terre ฟ้าครึ้มๆหน่อย คิดว่าน่าจะถ่ายรูปไม่สวยครับการเดินทางไป San Gimignano พวกเราจะนั่งรถบัสไปครับ ตอนแรกกะจะไปขึ้นรอบ 8.40 แค่เดินหลงอ้อมไปหน่อย กว่าจะไปถึงสถานีรถบัส ก็เลยเวลารถออกไปแล้ว เลยต้องนั่งรอรถรอบถัดไป 9.40 แทน สถานีรถบัสก็อยู่ใกล้ๆสถานีรถไฟ SMN นั่นหล่ะครับ ค่ารถคนละ 6.8 EUR ถ้าใครจะนั่งไปกลับก็ซื้อตั๋วไปกลับได้เลยครับ ส่วนผมจะไป Siena ต่อเลยซื้อตั๋วขาเดียว นั่งรถออกมาหน่อยนึงพอพ้น ZTL โซนก็รถติดมาเรื่อยๆ เลยครับ เราต้องเปลี่ยนรถที่สถานี Poggibonsi เดินเล่นใน San Gimignano ได้พอสมควร ที่นี่ได้บรรยากาศทอสคานี่สุดๆครับ คนชอบไวน์น่าจะชอบครับ คิดว่าถ้ามาคราวหน้าจะเช่ารถขับแล้วนอนพักแถวๆนี้ดู

พวกเรานั่งรถบัสออกมาประมาณบ่ายสองเพื่อไป Siena ต่อโดยเปลี่ยนรถที่ Poggibonsi เหมือนเดิมค่ารถ 6 EUR ซื้อตั๋วได้ที่ร้าน Tobacco หรือร้านที่มีตัว T ตัวใหญ่ๆ และเขียนว่า Tabacchi หน้าร้านจากในเมือง San Gimignano ที่ Siena หลักๆก็แวะแค่ Piazza กับ Duomo ครับ ระหว่างเดินที่ Siena ก็อย่าลืมแวะร้านซื้อตั๋วรถบัสขากลับไว้ ค่ารถ 7.8 EUR

พอเดินเล่นเสร็จก็กลับมาขึ้นรถแถวเดิมที่ลงเพื่อกลับไป Florence ระหว่างทางรถติดใช้ได้เลยช้ากว่าตารางเวลาเกือบๆชั่วโมงนึงได้ จากนั้นก็หาซื้อตั๋วรถเมล์แถวสถานี แล้วนั่งรถเมล์สาย 12 หรือ 13 ก็ได้ไปลง Piazzale Michelangelo เพื่อถ่ายวิวเมือง โชคดียังไปทันตอนพระอาทิตย์ตกพอดี คนเยอะล้านแปดเลยครับบนนี้ ค่ารถขาละ 1.2 EUR แนะนำว่าตอนซื้อตั๋วรถเมล์จากร้าน Tabacchi ให้ซื้อไปกลับไว้เลยนะครับ ส่วนใครที่หาร้านไม่เจอหรือไม่ได้ซื้อเตรียมขากลับไว้ จ่ายบนรถได้ครับแต่รู้สึกว่าเค้าจะไม่มีทอนและแพงกว่าซื้อจากร้านครับ ขากลับจะนั่งสาย 12 หรือ 13 กลับก็ได้เหมือนๆกัน

ข้าวเช้าคือมาม่าในห้อง กินอาหารเที่ยงที่ San Gimignano อาหารเย็นก็กลับห้องกินมาม่ากับแครกเกอร์ จากประสบการณ์รถบัสที่นี่ ถ้าขึ้นต้นทางก็ดูเวลาออกได้จากป้ายไฟในชานชาลาได้ ตรงเวลาเเน่นอน แต่ถ้าเป็นป้ายระหว่างทางต้องยืนรอและมองป้ายตัววิ่งหน้ารถเอา หรือถามคนขับเอาชัวร์อีกทีครับ บางคันไม่มีเลขรถมีแต่ตัววิ่งบอกว่าไปไหน

วันที่10

วันนี้เราไป Pisa+Cinque Terre กัน โดยจะมานั่งรถไฟแบบสายสั้นๆกันบ้าง ซื้อตั๋วที่ตู้ขายตั๋ว กดเองไม่ยากครับ และก่อนขึ้นก็อย่าลืม Valid ตั๋วกันนะ

มา อิตาลี เที่ยวเอง เวลาขึ้นก็ให้เช็คชานชาลาจากเลขสายรถไฟเอาครับอย่ามองแค่ชื่อสถานี เพราะป้ายที่สถานีจะบอกสถานีปลายทาง ถ้าสถานีที่เราจะไปไม่ใช่ปลายทางก็อาจหาไม่เจอ

มาอิตาลี ค่ารถไฟไป Pisa Centrale คนละ 8.4 EUR จากนั้นก็ซื้อตั๋วรถบัสไปลงหอเอน เหมือนเดิมคือซื้อไปกลับซะเลย ไปกลับคนละ 2 EUR ที่ Pisa พวกเราแค่ถ่ายรูปกับหอเอนไม่ได้แวะเดินเล่นที่ไหนต่อ ค่ารถไฟจาก Pisa ไป La Spezia คนละ 7.5 EUR ค่า pass รถไฟและ trail ของ Cinque Terre คนละ 16 EUR ผมไปได้ 3 หมู่บ้านครับก็ถึงเวลาต้องลาจาก ค่ารถกลับจาก La Spezia ไป Florence 13.5 EUR

ตอนนี้ขากลับนี่หละที่ผมโดนความห่วยแตกของระบบซื้อตั๋วเล่นงานที่สถานี La Spezia ทำให้ตกรถไฟรอบที่ต้องการจะขึ้นแล้วต้องรอขึ้นขบวนถัดไปในอีก 40 นาที เนื่องจากเครื่องขายตั๋วไม่ทำงาน ทุกคนต้องมาซื้อตั๋วที่เคาน์เตอร์ คิวยาวเป็นหางว่าวเลยครับ กว่าจะได้ออกตั๋วฟาดไป 30 นาที ลุ้นแทบตายนึกว่าจะต้องรอไปอีกขบวนแล้ว ยังไม่จบเท่านี้คันที่ขึ้นดีเลย์อีก 10 นาทีทำให้ผมเปลี่ยนรถไฟที่ Pisa ไม่ทันต้องรอไปอีกครึ่งชั่วโมง ใครมาแบบผมเตรียมใจไว้ด้วยนะครับ รวมๆ เสียเวลาไป 1 ชั่วโมงได้ แต่ก็มีเรื่องฮาๆ บนรถไฟนิดนึงเพราะบังเอิญได้ยินสองสาวชาวคาซัคพยายามป้อล้อนายตรวจตั๋วหนุ่มอยู่ เพราะหนุ่มอิตาลีขึ้นชื่อว่าหน้าตาดีครับ สาวๆคนไหนเคยมาแล้ว ลองช่วยคอนเฟิร์มด้วยนะครับ ยิ้ม อาหารเช้าซื้อแซนวิชร้านแถวสถานี อาหารเที่ยงที่ Riomaggiore อิ่มยันเย็นกลับไปกินขนมในห้องเอา


มาถึงวันที่11

วันนี้พวกเราออกจาก Florence ไป Rome แล้วครับ ผมซื้อตั๋วล่วงหน้ามาแล้วรอบ 8.34 รถไฟจะถึงโรมตอน 10 โมงวันนี้พวกเราจะก้าวเข้าสู่เมืองแห่งโจรกันแล้ว จริงๆ ได้ข่าวจากพี่ที่ออฟฟิศที่มากับทัวร์ว่า เมื่อวานไกด์วางกระเป๋าตังไว้เบาะหน้าสุดแล้วโดนโจรวิ่งขึ้นมาเอาแล้วหนีไปหายไปเลย จะต้องระวังตัวมากๆครับที่เมืองนี้

กระเป๋าเดินทางบนรถไฟเยอะเหมือนเดิมครับ ต้องเอาตัวล็อคคล้องไว้กับราวเหล็กเหมือนเดิม พอไปถึงก็ลากกระเป๋าไปฝากที่พักแล้วรีบไป Colosseum แต่ปรากฎว่าคนเยอะมากครับ รถตำรวจ ทีวีมาตรึม เพราะวันนี้ตรงกับ Good Friday ด้วย ที่ Colosseum มีพิธีอะไรซักอย่างไม่รู้ ที่ Pope จะมาทำพิธีด้วย พิธีมีปีละครั้งประมาณสามทุ่ม ทำให้ที่นี่ปิดเร็วขึ้นเป็น 14.00 ผิดแผนอย่างไม่เป็นท่าครับ จริงๆ คือผมรู้มาก่อนแล้วหละว่าเป็น Good Friday แค่ไม่ไดเคิดว่าคนจะมหาศาลขนาดนี้ เป็นอีกหนึ่งบทเรียนกันไปครับ

เลยย้ายก้นไปเริ่มต้นที่ Spanish steps กัน แล้วเดินไปเรื่อยๆจนถึง St. Peter’s Basilica ครับ เรียกว่าวันนี้เดินกันขาลากเลยทีเดียว

อาหารเช้าแถวสถานี Florence อาหารกลางวันภรรยาขอจัดหนัก T-bone steak โดนไป 122.1 EUR อิ่มยันเย็นกินไม่หมดใส่กล่องกลับห้องด้วย พักที่ Amoromasuite 2 คืน ที่ห้องมีครัวให้เลย (คืนละ 71 EUR) ไม่ได้พัก Dream Station ที่คนไทยชอบพักเพราะเดือนเมษายนต้องจอง 3 คืนขึ้นไป

วันที่12: ตามแผนเดิมจะไปแค่วาติกัน แต่เนื่องจากความไม่คาดฝันของเมื่อวานเลยขอเปลี่ยนแผนนิดนึงครับ ยอมไม่เข้า St.Peter ในตอนเช้าเพราะจะไปถอนแค้นที่ Colosseum ก่อนครับ

รอคิวซื้อตั๋วคนแรกเลยครับ ทางเข้าจะแบ่งเป็นสามช่องคือ 1.รอซื้อตั๋ว 2.มีตั๋วแล้ว 3.จองตั๋วออนไลน์มาแล้ว ก็มายืนต่อคิวตามช่องนั้นๆครับ ช่องของกรุ๊ปทัวร์จะแยกไปอีกประตู ตอนยืนรอมีคนมาบอกว่าต้องไปซื้อตั๋วจากบูธข้างนอกก่อน (ตรงแถวทางไป Roman Forums) แต่ผมไม่เชื่อ เพราะเช็คมาแล้วซื้อที่ Colosseum ได้เลย เลยยืนรอจนกระทั่งประตูเปิด ก็เข้าไปซื้อตั๋วข้างใน ค่าเข้า 12 EUR แล้วก็เดินเล่นไปเรื่อยๆ แล้วมาต่อ Roman Forums เดินออกมาทาง Altar of the Fatherland ข้างๆ จะมีรถบัสจอดหลายๆคัน นั่งสาย 46 ไปลงแถววาติกันครับ แล้วค่อยไปเข้า Vatican Museum

ซื้อบัตรเข้าไว้ล่วงหน้าแล้วครับรอบ 13.00 ยอมจ่ายเพิ่มเพื่อแลกกับการต่อคิว เห็นคิวที่ต่อกันแล้วคุ้มค่าที่จองออนไลน์ครับ ค่าเข้า 16 จองออนไลน์ 4 รวมเป็น 20 EUR พอผ่านเข้าไปแล้วก็ไปแลกตั๋วจริงที่ช่องขายตั๋วด้านบนอีกที เดินชมไปจนสุดทางครับ ไม่ได้เดินออกไปทางวิหาร St. Peter เพราะจะไปถ่ายบรรไดวน 555+

พอเดินเสร็จกลับไปนั่งพักที่ห้องรอเวลาพระอาทิตย์ตกดิน แล้วก็นั่งรถเมล์สาย 492 จากที่พัก (อันนี้ต้องขอบคุณ Daria เจ้าของที่พักที่แนะนำสายรถเมล์ให้ จริงๆ สายนี้สามารถนั่งไปได้ทั้งน้ำพุเทรวี่ แพนธีออน Piazza Navona และยาวไปจนถึงวาติกัน คือผ่านสถานที่เที่ยวเกือบหมดครับ) ออกไปถ่ายพระอาทิตย์ตก และกลับภายใน 100 นาทีก็ไม่ต้องเสียค่าตั๋วใหม่ กลับมานอนเตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางกลับพรุ่งนี้ อาหารเช้ากินสเต็กที่เหลือจากเมื่อวาน กลางวันกินร้านแถว Vatican Museum อาหารเย็นกินขนมของที่พัก

วันที่13

วันสุดท้ายในโรมครับ แต่ก็ทำได้แค่เดินทางไปสนามบิน และเพื่อความประหยัดเราจะลากกระเป๋าเดินทางไปขึ้นรถบัสไปสนามบิน จุดจอดรถบัสไม่ไกลจากที่พัก อยู่ติดกับ Roma Termini station ค่ารถแค่ 6 EUR เทียบกับรถไฟที่แพงกว่า 2 เท่า แต่ก็ใช้เวลานานกว่าเท่าตัวเช่นกัน รถไฟน่าจะใช้เวลา 30 นาที ส่วนนั่งรถบัสใช้เวลา 1 ชั่วโมงได้ ถึงสนามบินก็ไปทำ Tax Refund และโหลดกระเป๋า คิวหลังจากผ่าน security check ไป ตม. ของสนามบิน Fiumicino ผมใช้เวลา 1 ชั่วโมงแหน่ะ คนเยอะมาก หลังจากนั้นก็เดินทางกลับสู่สยามประเทศ Rome – Bangkok ผ่าน Singapore อาหารเช้ากินจากที่พัก มื้อที่เหลือก็บนเครื่องแล้วครับ

ที่อิตาลี คงเพราะผมไปเมืองท่องเที่ยวครับ เลยรู้สึกว่าคนเยอะทุกที่ ระบบขนส่งเค้าคนเยอะตลอด ส่วนถนนในเมืองเค้าค่อนข้างแคบ คนเดินบนถนนก็เยอะ ทางเดินบางที่เป็นหินๆ ถ้ารองเท้ามีส้นนี่น่าจะเดินยาก รวมๆเมืองดูสกปรกกว่าสวิสเยอะเลยเพราะคนสูบบุหรี่เยอะ เจอก้นบุหรี่เต็มถนนไปหมด แต่สถาปัตยกรรมที่นี่สวยจริงๆครับ ถ่ายมาไม่ได้เท่าที่เห็นด้วยตาจริงๆ

เรื่องล้วงกระเป๋าหรือกลโกงต่างๆ ทั้งทริปผมไม่เจอเลยครับ โดยเฉพาะที่โรม ไม่รู้ว่าเป็นเพราะช่วงวันหยุด Easter หรือเปล่า ที่นี่เลยเต็มไปด้วยทหาร ตำรวจทุกจุดทุกสถานที่เที่ยวเลยครับ ก็ถือว่าโชคดีไปครับ เที่ยวสบายๆ แต่ก็ไม่ได้ประมาทนะครับ


วันที่14

ถึงสนามบินสุวรรณภูมิ เพิ่มเติ่มนิดนึงครับใครใช้สายการบินสิงคโปร์แล้วแวะทรานสิทที่สนามบินชางฮีทั้งขาไปและขากลับ จะได้ voucher ฟรี (Changi Transit Programme) สำหรับใช้ในสนามบินคนละ 20 สิงคโปร์ดอลลาร์ voucher ขอได้แค่ขาใดขาหนึ่งนะครับ ผมรอใช้ขากลับ ถ้ามีบินกับ SQ ทรานสิทสิงคโปร์อย่าลืมไปขอกันนะครับ

**ส่วนถ้าใครมีซื้อของ King power ที่สนามบินตอนขาไปแล้วฝากไว้รอรับขากลับ (บริการนี้สะดวกมากๆเลย ไม่ต้องแบกของไปเที่ยวด้วย) ก็อย่าลืมมารับของกันนะครับ

สรุปค่าใช้จ่ายของทริปนี้ ก็ประมาณนี้ครับ อันนี้ผมไม่รวมของฝาก ของที่ระลึก และของกินเล่นนะครับ มาม่าที่ติดไปผมก็ไม่ได้เอามาคิดรวมนะครับ ตกคนละ 75,000 บาทครับ


สุดท้ายเป็นเรื่องของการจัดกระเป๋า สำหรับการเดินทางหลายๆวันแบบนี้ ผมและภรรยามีตัวช่วยทั้งกระเป๋าจัดระเบียบเสื้อผ้า กระเป๋าใส่อุปกรณ์อาบน้ำ กระเป๋าใส่ชุดชั้นใน กระเป๋าใส่เครื่องสำอาง กระเป๋าใส่รองเท้า กระเป๋าใส่พาสปอร์ต ให้ไว้เป็นข้อมูลสำหรับคนที่กำลังจะเดินทางนะครับ เผื่ออยากจะสั่งไปลองใช้กันดูครับ FB/ keepit.thailand แล้วพบกันใหม่ กับเรื่องราวเดินทางครั้งหน้านะครับ บายๆ ครับ

ขอบคุณรีวิวสวยๆ จาก Guest สุดพิเศษ คุณ AroundTheWorld สังกัด Pantip จากกระทู้ “สวิส อิตาลี – แพลนเอง ไปกันเอง 14วัน 11คืน (part Italy)” ที่มามอบประสบการณ์จัดเต็มแบบนี้ รับเสียงปรบมือจากเราไปเล้ย !!
ระดับความน่าไป : ✩✩✩✩✩
พูดคุยกับ Guest ได้ที่ :  www.facebook.com/painaikan.gowhere/


ชอบ บทความ มัชรูมทราเวล ทำไงดี…?

1.กดแชร์ต่อ ให้เพื่อนอ่านบ้าง
2. คลิก Like และ ติดตามเราได้ที่ Facebook www.facebook.com/mushroomtravel/

—————

Mushroom Travel มีโปรแกรม ทัวร์ยุโรป ให้เลือกมากที่สุด
โทร. 02-105-6234 (30 คู่สาย)
CustomerService@Mushroomtravel.com
Line id : @mushroomtravel

สวิส – อิตาลี เที่ยวเอง ไปกันเอง 14วัน 11คืน (part Italy) was last modified: May 16th, 2019 by Editor.Mushroom Travel
Exit mobile version