Mushroom Travel

[Hokkaido] หน้าหนาว ณ Wakkanai เหนือสุดแดนญี่ปุ่น คนเดียวก็ไปมาแล้ว..

ครั้งนี้มัชรูมทราเวลได้รับเกียรติจาก Guest สุดพิเศษ ที่จะมาบอกเล่าประสบการณ์ เที่ยว Wakkanai หน้าหนาว เมืองเหนือสุดของญี่ปุ่นในเกาะฮอกไกโด จะสวยและหนาวขนาดไหน ต้องไปชมค่ะ


Hokkaido หน้าหนาว ณ Wakkanai เหนือสุดแดนญี่ปุ่น คนเดียวก็ไปมาแล้ว..

เมื่อเดือนมกราที่ผ่านมา ได้ตะลุย backpack คนเดียวที่ Hokkaido มาเป็นเวลา 10 วัน 9 คืน สาเหตุที่เลือกแถบนี้ก็เพราะอยากสัมผัสอากาศหนาวที่สุดสักครั้งหนึ่ง ตอนนั้นอุณหภูมิก็ประมาณ -5 ถึง -14 ก็เที่ยวไปเรื่อยเปื่อยตั้งแต่เหนือจรดใต้ของเกาะ (ไม่ได้ไปแตะฝั่งตะวันออก เพราะว่า Drift Ice ยังมาไม่ถึง เลยแวะไปโฉบๆ ถึงแค่ Asahikawa เท่านั้น) หลายๆ เมืองที่ไปก็อาจเป็นที่คุ้นหูสำหรับหลายคนดี เช่น Hakodate, Otaru, Asahikawa, Sapporo ซึ่งรีวิวในพันทิปก็มีให้เห็นอยู่มากมาย แต่มีที่หนึ่งที่ตอนทำการบ้าน หาคนให้ตามรอยได้ยากมาก คือ Wakkanai พอผมได้ไปมาก็เลยจะลองมารีวิว เที่ยว Wakkanai ให้ดู เผื่อเป็นข้อมูลให้คนที่จะไปบ้าง อันเป็นที่มาของกระทู้นี้ ซึ่งผมจะพักที่นี่เป็นเวลา 2 คืนครับ

ก่อนอื่นแจ้งข่าวที่ได้ทราบมาเร็วๆ นี้ก่อนว่า Wakkanai เป็นหนึ่งในเป้าหมายของ JR Hokkaido ที่อาจจะโดนยุบการให้บริการ เว้นแต่จะเจรจากับทางท้องถิ่นในเรื่องการแบกรับค่าใช้จ่ายกันได้ เนื่องจากเป็นเมืองที่คนอยู่กันเบาบางมาก อีกทั้งไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวจะไปถึง ดังนั้น หากมีการยุบเส้นทางขึ้นมาจริงๆ คงต้องทำใจว่าอาจจะไปได้ลำบากขึ้น จากที่ลำบากอยู่แล้ว 5555 เพราะ Pass จะก็ไม่ครอบคลุมอีกต่อไป

อนึ่ง อย่างที่หลายคนทราบว่า ยิ่งห่างจากเมืองท่องเที่ยวมากเท่าไร ภาษาอังกฤษจะหายไปมากเท่านั้น ใช้ได้กับที่นี่เช่นกัน หากเดินออกจากสถานีเมื่อไร ป้ายภาษาอังกฤษแทบจะอันตธานหายไป ตัวผมเอง N3 พอจะถูไถเอาตัวรอดไปได้ แต่คิดว่าใครที่ไม่มีพื้นฐานภาษาญี่ปุ่นเลย อาจจะพบกับความลำบากอยู่บ้างเหมือนกัน และขอออกตัวว่าผมไม่เฉียดใกล้กับนิยามคำว่าสายหรูเลยสักนิด ทั้งทริป ฮอกไกโด นี้ 10 วันตั้งแต่ออกจนกลับไทยหมดไปไม่ถึง 35,000 บาท อิ่มทุกมื้อแต่จะฝากท้องไว้กับคอมบินีเป็นหลัก เข้าร้านอาหารเป็นบางมื้อ อาจจะไม่มีรูปของกินให้ดูนะครับ แต่ตอนท้ายว่าจะสรุปค่าใช้จ่ายสำหรับเมืองนี้ให้นะครับ

Wakkanai (稚内) เป็นเมืองที่อยู่เหนือสุดในประเทศญี่ปุ่น และเป็นเมืองท่าที่ถูกขนาบทะเลญี่ปุ่นและทะเลโอคอทสก์ ถูกเรียกว่า เมืองสายลม เพราะลมพัดแรงมากแทบทั้งปี (อันนี้ผมเองก็ประสบมาเหมือนกัน) เมืองนี้เป็นศูนย์กลางของการประมงและการจับสัตว์ทะเลมากมาย โดยเฉพาะปู หอยเชลล์ และพระเอกอย่าง หอยเม่น

เริ่มต้นกันที่ ผมเดินทางมาถึงสถานี JR Wakkanai ในเวลาหกโมงเย็นกว่าๆ ที่นี่เป็นสถานีปลายทางของสาย Soya Line อยู่แล้ว นั่งกันแบบหลับแล้วหลับอีก พอมาถึงก็แทบไม่เหลือผู้โดยสารเลย เรียกได้ว่าทั้งขบวนมีอยู่ 4-5 คน มีแต่คุณป้ากับวัยรุ่นที่ดูแล้วน่าจะกลับจากการออกไปซื้อของในตัวเมืองใหญ่

บรรยากาศตอนทุ่มนึงครับ สาบานได้ว่านี่คือใจกลางของเมืองเลย โล่งมากแบบว่าเดินไปโรงแรมนี่ไม่ได้กลัวจงกลัวโจรเลย กลัวผีมากกว่า ช็อคกว่านั้นระหว่างทาง เจอจิ้งจอกตัวเป็นๆ ด้วยครับ คงอาจมาหาของกินหลังพระอาทิตย์ตกไปแล้ว แต่ก็ไม่ได้ดุนะครับ ดูกลัวคนซะด้วยซ้ำ เมืองอื่นเห็นเค้าชอบพูดกันว่าห้าโมงเย็นก็ไม่มีคนแล้ว ประทานโทษนะครับ ที่นี่ไม่มีคนทั้งวันตั้งแต่เช้ายันเย็น

นี่คือสวนสาธารณะกลางเล็กๆ ของเมืองนี้ ใกล้กับบริเวณที่เจอจิ้งจอก หิมะท่วมสูงมากเพราะจะถูกโกยเพื่อกรุยทางอยู่ตลอด ทำให้ต้องปิดห้ามเข้าในช่วงฤดูหนาว ผมเดินขนาบข้างนี่เรียกได้ว่ามิดหัวพอดีเลยครับ สูงขนาดไหนลองกะจากต้นไม้รอบๆ ก็ได้ครับ ป้ายที่เห็นน่าจะสูงสักสองเมตร อยากโดดลงไปเหวี่ยงแขนเหวี่ยงขาแบบที่เคยเห็นคนอื่นเค้าทำกันบ้าง แต่คงลุกกลับขึ้นมาไม่ได้แน่นอน 555

สำหรับที่พัก แน่นอนว่าคนอย่างผมเลือกที่ที่ถูกที่สุดอยู่แล้ว ซึ่งปกติก็คือ Hostel แต่แต่แต่.. เมืองนี้เป็นเมืองแรกที่เคยไปที่ไม่มี Hostel ครับ ที่จริงแม้แต่โรงแรมที่ระยะเดินถึงก็มีอยู่แค่ 3 ที่ครับ และเป็นห้องเดี่ยว Only แต่ข้อดีคือว่าอยู่กระจุกเดียวกันหมดเลยและใกล้กับสถานีมาก ที่ว่ามานี่ก็คือ Dormy Inn Wakkanai / ANA Crowne Plaza Wakkanai / Hyosetsuso ทั้งสามอันได้คะแนนรีวิวดีหมดเลย และรู้สึกอ่านเจอว่าอันแรกจะมีออนเซ็นในโรงแรมกับราเมนฟรีให้กินตอนดึกด้วยมั้งครับถ้าจำไม่ผิด แต่ผมพักที่อันหลังสุด เป็นโรงแรมไซส์เล็กเมื่อเทียบกับอีกสองที่ซึ่งมีห้องแบบฟูกญี่ปุ่น เพราะเบื่อไม่อยากพักห้องแบบตะวันตก ในห้องก็กว้างขวางและสะอาดดีครับ มีอุปกรณ์ครบครัน ตู้เย็น ทีวี ฮีตเตอร์ ฯลฯ ประทับใจที่นี่ครับ

ในตลอดช่วงที่พักสองคืน ได้คุยกับเจ้าของโรงแรม เป็นคุณลุงอายุสักประมาณ 50 กว่า ไปเมืองไทยมาแล้วหลายครั้งมาก แล้วก็อุปการะให้ทุนการศึกษาเด็กยากจนไปหลายคนแล้ว แต่กระนั้นก็พูดไทยไม่ได้ (สวัสดีครับ/ขอบคุณครับ ผมไม่นับว่าพูดได้ละกันนะ) ส่วนอังกฤษแม้จะไม่ถึงกับปร๋อ แต่ก็พูดคล่องเมื่อเทียบกับมาตรฐานคนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ ตอนเช็คเอาท์ลุงขอถ่ายรูปกับฟร้อนท์โรงแรม บอกว่านานๆ ทีจะมีแขกต่างชาติมาคุยด้วย มีมาเมื่อไรแกจะขอเอารูปกับประวัติความเป็นมาไปเล่าลงเพจโรงแรมทุกราย แต่เนื่องด้วยเป็นภาษาญี่ปุ่นค่อนข้างยาวซึ่งบางประโยคผมก็แปลไม่ออก อยากให้ผู้เชี่ยวชาญแปลให้ฟังเหมือนกัน แต่รู้สึกเขินเลยขอไม่แคปมาลงพันทิปดีกว่า 555

คุยไปคุยมาผมบอกว่า อยากหาวิวถ่ายรูปสวยๆ แกก็ได้ทีอวดเลยเอาโปสการ์ดที่แกถ่ายเองมาแจกให้ 3 ใบ ตอนหลังแวะมาคุยอีก ทีนี้แกควักถุงมือ Booking.com มาแจกเลยครับ อันนี้ดูดีมากครับ สวมแล้วทัชสมาร์ทโฟนได้ แถมอุ่นกว่าที่ขายในเซเว่น 1,000 เยนอีก แอบคิดว่าทำไมของแจกดีขึ้นเรื่อยๆ ถ้าอยู่นานกว่านี้คงจะได้ของใหญ่ 5555 สงสัยถูกใจเจอนักท่องเที่ยวพูดญี่ปุ่นได้(บ้าง) ปกติเวลาเดินทางไปเที่ยวตปท. ผมจะพกของที่ระลึกเล็กๆ จากเมืองไทยไปด้วย เอาไว้แจกเผื่อเวลาเจอใครช่วยเหลืออะไรหรือใครมาชวนคุยแนะนำอะไร คราวนี้เป็นแม็กเน็ตรูปช้างจากจตุจักรซึ่งอันที่จริงเหลือจากทริปที่แล้ว 555 ยาดมซึ่งตอนนี้ดังที่ญี่ปุ่น อาจจะเป็นเพราะมีรายการญี่ปุ่นเคยเอาไปออกละมั้ง (อันนี้ปรากฏว่าลุงก็มีอยู่แล้ว ใช้อยู่ประจำ พร้อมกับหยิบออกมาโชว์) แล้วก็ขนมอีกนิดหน่อย วันเช็คเอ้าท์ผมก็เลยแจกคืนไปหลายอันเลย

หลังจากเอาของเข้าห้องเสร็จ สักทุ่มกว่า ก็รู้สึกหิวขึ้นมา ยังไม่ได้กินข้าวเย็นเลย เนื่องจากนั่งรถยาวมาตั้งแต่ช่วงสายแล้ว ตอนนั้นก็มืดสนิทแล้ว ร้านอาหารรอบตัวๆ ก็ไม่เห็นมี เลยเดินย้อนกลับมาที่สถานี เพื่อหาของกินที่คอมบินิ ชื่อว่า เซโคมาร์ท อันเป็นแหล่งของกินเดียวแหล่งเดียวของใจกลางเมืองในยามค่ำคืนก็ว่าได้ (จากสังเกตระหว่างนั่งรถบัสวันรุ่งขึ้น ก็สังเกตว่าคอมบินีอื่นที่ใกล้ที่สุดน่าจะห่างออกไปอย่างน้อยๆ ก็สองสามกิโล)

ไหนๆ ก็ออกมาแล้ว ก็เดินสำรวจสถานีซะเลย ที่นี่แม้จะเป็นสถานีหลักของเมือง แต่ก็เป็นแค่สถานีเล็กๆ ไม่มีห้างร้านอะไรขายเลย จะมีก็แต่คาเฟ่เล็กๆ อยู่คาเฟ่หนึ่ง ไว้ขายพวกข้าวกล่องในตอนกลางวัน แถมปิดเร็วซะด้วย แล้วก็ศูนย์ประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวเล็กๆ และเก้าอี้นั่งพักอีกตัวสองตัว พร้อมกับป้ายยินดีต้อนรับสู่ Wakkanai ที่มีรูปมาสคอทของที่นี่ชื่อว่า Dashinosuke เป็นแมวน้ำผสมกับสาหร่าย เพราะทะเลแถบนี้มีแมวน้ำอยู่เยอะ แต่มีที่ที่นึงบนชั้นสองของสถานีที่ผมไม่คิดว่าจะมีในเมืองเล็กๆ แบบนี้ และต่อมาผมก็ได้ไปเยือนมาด้วย จะเป็นอะไรนั้น เดี๋ยวเฉลยเมื่อถึงเวลา

แต่ที่พิเศษสำหรับสถานีนี้ก็คือ ที่นี่เป็นสถานีรถไฟที่อยู่เหนือสุดของญี่ปุ่น เพราะฉะนั้นก็มีป้ายโชว์กันหน่อย ซึ่งบอกตามตรงว่าป้ายพวกนี้ไม่ได้อยู่ในความสนใจของคนพื้นที่เลยแม้แต่น้อย ตอนผมไปถ่ายรูปคู่ซึ่งวิ่งไปวิ่งมาระหว่างป้ายกับขาตั้งกล้อง ทุกคนที่ผ่านมาเห็นล้วนแต่ทำหน้าสงสัยว่าถ่ายไปทำไมของมัน 5555

Survey คร่าวๆ สมใจแล้วก็กลับโรงแรม มาหารือถึงแพลน เที่ยว Wakkanai วันพรุ่งนี้สักหน่อย ทีแรกตั้งใจจะไปถ่ายพระอาทิตย์ขึ้นที่แหลมโซยะ ก็เลยถามลุงว่าเป็นความคิดที่ดีมั้ย ลุงก็บอกว่า เอ่อ.. เช้าขนาดนั้นไม่มีใครเค้าไปกันหรอก แถมที่หลบหนาวก็ไม่มี ดีไม่ดีจิ้งจอกจะคาบไปกินเอา เมื่อฟังดังนั้น ด้วยความที่กล้าหาญมาก ก็เลยเปลี่ยนแพลนทันที 555 ตัดสินใจไปรอบสายแทน ตอนเช้าก็เลยไปจุดแลนด์มาร์คอีกจุดหนึ่งของที่นี่ คือ โดมกันลมและคลื่น หรือที่เรียกสั้นๆเป็นภาษาญี่ปุ่นว่า Kita Bohatei (คิตะ โบฮะเท)

เดินออกมาจากโรงแรมก็ตกใจเลยครับ ใกล้มาก ที่เมื่อคืนตอนมาถึงไม่ได้สังเกตก็เพราะว่ามันมืดแล้วเลยมองไม่เห็น ใกล้ขนาดที่ว่าสักเดินยี่สิบก้าวจากประตูโรงแรมก็ถึงแล้ว อย่างที่บอกไปโรงแรมในละแวกนี้อยู่ในระยะเดินถึงกันได้สบาย แต่โรงแรมที่ผมพักเป็นโรงแรมที่ใกล้โดมนี้มากที่สุดเลย รองลงมาก็ ANA ตามด้วย Dormy Inn

โดมนี้จะเป็นสไตล์กรีก เหมือนที่พบได้ตามยุโรปเป๊ะเลย โดยจะทอดยาวเป็นระยะทางไกลเหมือนกัน สักครึ่งโลเห็นจะได้ ในฤดูที่ไม่มีนักท่องเที่ยวแบบนี้ ช่วงเช้าก็จะมีแต่คนพื้นที่พาหมามาเดินเล่น หรือไม่ก็วิ่งออกกำลังกาย เพราะอยู่ใต้โดมจะไม่ค่อยหนาว แล้วก็ไม่มีหิมะด้วย ใกล้ๆ ก็ยังมีเรือประมงจอดเทียบอยู่ แต่เป็นพื้นที่ส่วนบุคคลก็เลยเข้าไปถ่ายใกล้ๆ ไม่ได้

พอใกล้ได้เวลาไป แหลมโซยะ ก็เดินไปรอรอบัสซึ่งอยู่ที่เดียวกับสถานีรถไฟนั่นแหล่ะ พยายามคิดว่าสายๆ แล้ว คนน่าจะเยอะหน่อย ปรากฏว่ามีผู้โดยสารคนเดียว คือ คุณป้าคนนึง คิดอยู่เลยว่าถ้ามารอบตี 5 ต้องทรหดขนาดไหนเนี่ย

ก่อนรถบัสจะออก อยู่ๆ หิมะก็ตกหนักมาก มองอะไรไม่เห็นเลย แต่คนขับรถชิวมาก พอผ่านไปได้สักสองสามป้าย อยู่ๆ ป้าก็กดออดลง เหมือนขึ้นมาหลอกให้อุ่นใจเล่นเฉยๆ เลยต้องนั่งอึนไปตลอดทางอีกเกือบยี่สิบป้าย มีอยู่จังหวะหนึ่ง ประตูอัตโนมัติมันขัดข้องเพราะหิมะมันพัดมากองสุม ลุงก็หยุดรถปุ๊บและลงไปดู ทั้งๆ ที่ข้างทางนี่ยิ่งกว่า Silent Hill มาก ถ้ามีสัตว์ประหลาดอะไรโผล่มาเขมือบลุง ผมจะไม่แปลกใจเลย

ในที่สุดก็มาถึงจุดสำคัญอีกแห่งหนึ่งของการ เที่ยว Wakkanai คือ แหลมโซยะ หรือที่ภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า Soya Misaki (โซยะ มิซากิ) ที่นี่แหล่ะคือจุดเหนือสุดของญี่ปุ่นที่แท้จริง ว่ากันว่าถ้าวันที่อากาศดีๆ จะสามารถมองข้ามทะเลไปเห็นประเทศรัสเซียได้เลย แต่ในฤดูเช่นนี้ แค่ไม่จมหิมะตายก็บุญหนาแล้วครับ

ลมที่นี่แรงมากกก ผมเคยอ่านรีวิวของฝรั่งคนนึงที่มาเที่ยวตอนหน้าหนาวเหมือนกัน เค้านิยามสั้นๆ ไว้ว่า windy as hell ตอนนี้เชื่อสนิทใจเลยครับ แรงชนิดที่ขนาดขาตั้งกล้องเอาเป้หนักเป็นกิโลถ่วงไว้ก็ยังล้ม ลืมตัวเมืองข้างล่างไปได้เลย ไอ้โดมกันลมน่ะควรมาสร้างบนนี้ต่างหากเล่า ยิ่งตอนฝ่ากองหิมะปีนขึ้นไปถ่ายรูปกับตัวแหลมนะ เสียววาบเลย ข้างหลังก็เป็นทะเล ปลิวลงไปนี่ได้เล่นกับแมวน้ำแน่เลย ปล.ป้ายแหลมมีเขียนเป็นภาษาอังกฤษว่าเป็นจุดเหนือสุดของญี่ปุ่น ไม่ต้องกลัวว่าคนจะดูภาพเราไม่ออกนะครับ

บรรยากาศโดยรอบแหลมจะอ้างว้างมากครับ โดยเฉพาะในฤดูนี้ วิวขาวโพลนไม่มีอะไรมาคั่นเลยครับ มีแค่ตัวแหลมกับ อนุสาวรีย์มามิยะ รินโซ นักสำรวจชาวญี่ปุ่นผู้สำรวจเกาะซาฮาลิน ทั้งละแวกมีอาคารอยู่แค่สองสามตึก แต่เพราะเป็นหน้าหนาวก็เลยปิดกันยาว ตอนผมไปถึงไม่มีนักท่องเที่ยวเลยครับ แม้แต่คนพื้นที่ก็ไม่มี ต้องผ่านไปสักพักถึงจะมีคนโผล่มาสักคน คิดดูละกันครับว่าเมืองนี้สันโดษขนาดไหน ถึงกับมีป้ายเตือนห้ามให้อาหารจิ้งจอก เพราะจะทำให้จิ้งจอกเสียนิสัย นี่ถ้ามาตอนดึกๆ หรือเช้ามืดอย่างที่ตั้งใจ คงเจอเป็นฝูงอย่างที่ลุงบอกแน่เลย

ละแวกนี้มีแต่ร้านขายของที่ระลึกร้านเดียวเท่านั้นที่เปิด โดยปกติเมื่อรถบัสมาถึง จะมีเวลาประมาณ 40 นาที กว่ารถบัสขากลับจะมาถึง แต่ด้วยความที่ผมมาคนเดียว ประกอบกับอากาศรุนแรง การถ่ายรูปเลยทุลักทุเลมาก เลยยอมตัดใจกลับคันถัดไป ซึ่งต้องรออีกนานโขเลย ก็ได้ร้านขายของที่ระลึกเนี่ยแหล่ะครับเป็นที่พักหลบหนาว เรียกว่าเดินจงกลมทั้งร้านไปหลายรอบเลย ป้าคนขายก็ไม่ได้กลัวผมจะขโมยของเลยสักนิด ของที่นี่เรทปกติครับ ไม่ถูกไม่แพง ซึ่งสุดท้ายก็ซื้อติดมือมาอย่างสองอย่างเป็นที่ระลึกครับ

ไฮไลท์!! เมื่อเรามาถึงที่นี่สามารถขอให้ออก(ซื้อ)ใบประกาศว่าเรามาเหยียบที่นี่แล้วนะ ระบุองศาละติจูดมาให้ครบ พร้อมประทับวันเวลาเสร็จสรรพได้ด้วย

เอ้อ มีคำเตือนนะครับ รถบัสไปกลับแหลมกับตัวเมืองมีน้อยมาก วันละ 4-5 รอบเห็นจะได้ ถ้าพลาดที ต้องรอคันต่อไปถึงประมาณสองชม.เลยครับ ถ้ารถบัสหมดเมื่อไร ไม่มีทางจะเดินกลับได้เลย และจะหวังโบกรถคนพื้นที่กลับก็ไม่รู้ต้องรอจนรากงอกแล้วงอกอีกรึเปล่า ระวังกันไว้ด้วยนะครับ ส่วนที่รอรถก็ตรงฝั่งตรงข้ามกับแหลมเลย จุดเดียวกับที่ผู้ชายในรูปยืนเลยครับ

พอรถมาก็ได้เวลากลับตัวเมือง พักเอาแรงที่โรงแรมสักแปปนึง ก็ออกมาที่สถานีเพื่อมาทำภารกิจอย่างหนึ่งที่เล็งไว้ตั้งแต่เมื่อวาน คือก่อนมา ผมตั้งใจว่าจะดูหนังในโรงหนังญี่ปุ่นให้ได้ ซึ่งแน่นอนว่าก็คงต้องเป็นเมืองที่เจริญที่สุดของภาคอย่าง Sapporo แต่ที่นี่มาเหนือครับ ปรากฏว่ามีโรงหนังอยู่บนสถานีเลย เป็นอะไรที่เท่มาก ผมตัดสินใจเลือกที่นี่แทน เพราะดูเป็นอะไรที่น่าจดจำกว่า ซึ่งโรงหนังแห่งนี้ดูเหมือนจะเป็นแหล่งความบันเทิงที่เดียวของเมืองนี้ ตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่ จะเห็นวัยรุ่นก็แต่เฉพาะบริเวณสถานีนี่แหล่ะ

ทุกอย่างในเมืองมักจะเพิ่มความ unique ด้วยการเติมว่า “เหนือสุดในญี่ปุ่น” โรงหนังที่นี่ก็เช่นกันครับ เคลมตัวเองลงใบเสร็จเลยว่า ยินดีต้อนรับสู่โรงหนังที่ตั้งอยู่เหนือสุดในญี่ปุ่น ที่หน้าโรงจะมีใบปลิวหนังใหม่ๆ หยิบได้ฟรีครับ แต่ละอันสวยๆ ทั้งนั้นเลย ชมจนพอใจแล้วก็ไปซื้อตั๋ว ซึ่งหนังฝรั่งที่ฉายในญี่ปุ่นก็คล้ายๆ กับบ้านเรา คือมีทั้งแบบพากษ์ และแบบ soundtrack มีซับ แม้แต่ใครที่ไม่รู้ภาษาญี่ปุ่นเลยก็เลือกดูแบบหลัง แล้วฟังภาษาอังกฤษเอาอย่างเดียวก็ได้ครับ

โรงหนังที่นี่เงียบเหงาครับ มีอยู่สองสามโรงฉาย แต่ละโรงก็กะทัดรัด ประมาณจากสายตาน่าจะจุคนได้สัก 40-50 คนเองมั้ง เปิดฮีตเตอร์อุ่นมากค่อนไปทางร้อน แต่ถึงกระนั้น ของที่ระลึกมาเต็มครับ หลากหลายมาก ไม่ใช่แค่หัวแก้วถังป๊อปคอร์นแบบบ้านเรา เห็นผมถ่ายมาอย่างเดียว แต่ความจริงล้มละลายกับของที่ระลึกไปหลักพันเหมือนกันครับ 5555

หลังจากอิ่มเอมกับหนังและการละลายทรัพย์แล้ว ก็จะหาอะไรสักกินอย่างเป็นมื้อสุดท้ายก่อนจากเมืองนี้ (ความจริงได้กินข้าวไข่หอยเม่นไปมื้อนึงแล้ว ต้องมาลอง เพราะหอยเม่นที่นี่ชาวญี่ปุ่นยกย่องว่าดีที่สุด แต่ตอนนั้นตื่นตาตื่นใจมากเลยไม่ได้ถ่ายรูป รู้ตัวอีกทีเกลี้ยงไปแล้ว อร่อยแสงพุ่งเลย) งานนี้ก็พึ่งลุงที่โรงแรมอีกตามเคย ขออาหารท้องถิ่นเลย ลุงก็โทรเช็คให้ เพราะเมืองนี้ร้านอาหารเปิดปิดกันตามอารมณ์มาก ก็ได้ชื่อมาร้านหนึ่ง ลุงบอกเป็นร้านพื้นเมืองของที่นี่ได้ลงหนังสือท้องถิ่นประจำ เดินได้ไม่ไกลจากโรงแรม ชื่อว่า Amimoto (รูปหน้าร้านหามาจากเว็บอื่นนะครับ พอดีลืมถ่ายป้าย)

เปิดประตูบานเลื่อนปุ๊บ กลิ่นอายญี่ปุ่นกระแทกหน้าเลย 5555 ร้านหยั่งกับย้อนไปสมัยเมจิ เจ้าของร้านก็เป็นคุณตาคุณยาย เปิดละครพีเรียดไปด้วยได้อารมณ์มาก เมนูก็ภาษาญี่ปุ่นล้วน เชื่อแล้วว่าท้องถิ่นจริง แต่ลุงที่โรงแรมโชว์ให้ดูแล้วว่าอะไรเป็นจานเด็ด ก็เลยไม่เสียเวลานั่งแกะนั่งแปล สั่งโลดดด แต่ตอนนี้จำชื่อเมนูไม่ได้จริงๆ เป็นซุปทะเลร้อนเสิร์ฟในฝาหอยเชลล์ยักษ์ที่วางบนเตาแก๊สอเนกประสงค์ ใส่เครื่องกุ้งหอยปูปลามาครบ รสชาติเค็มๆ เล็กน้อย ถือว่าดีครับ ซีฟู้ดที่ใส่มาทุกอย่างสดมาก ใครรู้ว่าเมนูนี้ชื่ออะไรก็ให้ความรู้แก่ผมได้นะครับ เอารูปจากเว็บไซต์การท่องเที่ยวของเมืองมาเปรียบเทียบให้ดูด้วย

ละเมียดละไมกับมื้อสุดท้ายจนเกลี้ยง ก็หอบสังขารกลับโรงแรม ก็เป็นอันปิดทริปสำหรับเมืองนี้สำหรับผมครับ วันรุ่งขึ้นก็ออกเดินทางย้ายเมืองต่อไป..

สรุปส่งท้าย

สำหรับค่าใช้จ่ายของเมืองนี้
ค่าเดินทางมา Wakkanai ฟรี (รวมอยู่ใน JR Hokkaido Pass)
ค่าที่พัก 2 คืน 10,800 เยน
ค่ารถไปแหลมโซยะ 2,500 เยน
ค่าตั๋วหนัง 1,800 เยน
ค่าข้าวไข่หอยเม่น 1,300 เยน
ค่าซุปซีฟู้ดมื้อสุดท้าย 1,080 เยน
ค่าอาหารมื้ออื่นๆตามคอมบินี 630 เยน
รวม 18,110 เยน ตีเป็นเงินไทย ณ ตอนนั้นก็ประมาณ 5,500 บาท

จากการที่ได้คุยกับลุงเจ้าของโรงแรม ที่นี่นักท่องเที่ยวต่างชาติน้อยมาก ซึ่งส่วนใหญ่จะมาฤดูร้อนกันมากกว่า ยิ่งคนไทยนานทีปีหนจะโผล่มาสักคน (ตอนผมอ่านรีวิวของโรงแรมใน Booking.com ก็มีคนไทยเขียนอยู่คนเดียวเอง) สาเหตุที่ฤดูร้อนเป็นฤดูที่คนนิยมมาก็เพราะสว่างเร็วมืดช้า อีกอย่างก็คือมีเรือข้ามฟากไปเกาะ Rishiri และเกาะ Rebun อันเป็นแลนด์มาร์คอีกแห่งหนึ่งของ Wakkanai ส่วนสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ ก็อย่างเช่น แหลม Noshappu ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องวิวพระอาทิตย์ตก หรือทะเลสาบ Onuma ซึ่งไว้ชมหงส์ เป็นต้น

ในบรรดาที่ที่เคยไปเยือนมาในญี่ปุ่น ผมประทับใจกับเมืองนี้มากที่สุด (สำหรับทริป ฮอกไกโด นี้ ถ้าจะให้เรียงความชอบก็คงเป็น Wakkanai – Otaru – Sapporo – Asahikawa – Hakodate) ไม่มีความวุ่นวายเลยแม้แต่น้อย บรรยากาศก็สบายตา จากนโยบายที่ตั้งไว้กับตัวเองว่าจะไม่ไปซ้ำรอยที่ที่เคยไปมาแล้วเด็ดขาด กลายเป็นว่าอยากจะลองกลับไปในฤดูอื่นดูบ้าง ก็เป็นอันว่าขอจบกระทู้ลงไว้เท่านี้นะครับ ขอบคุณทุกท่านที่แวะเข้ามาอ่านครับ

ขอบคุณ Guest สุดพิเศษ คุณ สมาชิกไม่ค่อยออน สังกัด pantip จากกระทู้ “[CR] [Hokkaido] หน้าหนาว ณ Wakkanai เหนือสุดแดนญี่ปุ่น คนเดียวก็ไปมาแล้ว..” ที่มามอบประสบการณ์ รีวิว เที่ยว Wakkanai เมืองเหนือสุดของประเทศญี่ปุ่นให้ชมแบบนี้ ได้รับเสียงปรบมือจากเราไปเล้ยย!!
ระดับความน่าไป : ✩✩✩✩✩


ชอบ บทความ มัชรูมทราเวล ทำไงดี…?
1.กดแชร์ต่อ ให้เพื่อนอ่านบ้าง
2. คลิก Likeและติดตามเราได้ที่ Facebook www.facebook.com/mushroomtravel/

—————
Mushroom Travel มีโปรแกรม ทัวร์ฮอกไกโด ให้เลือกมากที่สุด
โทร. 02-105-6234 (30 คู่สาย)
CustomerService@Mushroomtravel.com
Line id : @mushroomtravel

[Hokkaido] หน้าหนาว ณ Wakkanai เหนือสุดแดนญี่ปุ่น คนเดียวก็ไปมาแล้ว.. was last modified: May 10th, 2019 by Editor.Mushroom Travel
Exit mobile version