หากคุณสนใจสามารถติดต่อสอบถามโดยตรงได้ที่
02 105 6234 หรือ CustomerService@Mushroomtravel.com
สนามบินสุวรรณภูมิ หรือ ท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ ตั้งอยู่ในในเขตอำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ ห่างจากใจกลางเมืองกรุงเทพมหานคร 25 กิโลเมตร เปิดให้บริการเชิงพาณิชย์เต็มรูปแบบอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2549 ซึ่งรัฐบาลได้กำหนดให้ท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ เป็นท่าอากาศยานหลักของประเทศไทยแทนท่าอากาศยานดอนเมือง และสนามบินสุวรรณภูมิเคยให้ได้รับการจัดอันดับให้เป็น 1 ใน 10 ท่าอากาศยานที่มีคุณภาพการบริการดีที่สุดในโลกในปี พ.ศ. 2553
จตุรัสเซ (Se Square) ซึ่งเป็นจตุรัสใจกลางเมืองเซาเปาโล และ เป็นที่ตั้งของโบสถ์ประจำเมืองเป็นโบสถ์สไตล์โกธิคสวยงามมาก นอกจากนี้ยังเป็นจตุรัสที่ตั้งของโรงละคร ศูนย์กลางสถานีรถไฟใต้ดินของเมืองเซาเปาโล
เซา ฟรานซิสโก้ สแควร์ (Sao Francisco Square) ซึ่งเป็นเมืองตั้งอยู่ในเขต เซา คลิสโตโว (Sao Cristovao) ได้รับการยกย่องจากองค์การยูเนสโก้ ให้เป็นเมืองมรดกโลกในปี ค.ศ.2010 เมืองแห่งนี้มีลักษณะโดดเด่นของสถาปัตยกรรมแบบบาโร๊ค และบ้านเรือนที่สร้างมาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 18-19 สะท้อนให้เห็นถึงการดำเนินชีวิตและศิลปะวัฒนธรรมของชาวบราซิลในอดีต
โบสถ์เซาฟรานซิสโก (Sao Francisco Church) ความสำคัญของโบสถ์นี้คือเป็นโบสถ์สไตล์บาร็อกแบบสเปน แห่งเดียวในบราซิลและเก่าแก่ที่สุดในลาตินอเมริกา เป็นโบสถ์ที่เรียกขานว่า “the church of gold” เพราะภายในโบสถ์มีรูปปั้น,รูปภาพที่เคลือบด้วยทองคำแท้ทั้งบนเพดานและผนัง ตลอดทั้งตัวโบสถ์ นอกจากนี้ยังมีงานไม้แกะสลัก Jacaranda ตบแต่งโดยรอบดูงดงามและอลังการมาก ๆ (โดยเฉพาะยามค่ำคืน แสงไฟส่องให้ทั้งโบสถ์ดูเหลืองอร่าม)
เมืองเซาเปาโล(Sao Paulo) เมืองหลวงของรัฐเซาเปาโล ประเทศบราซิล เมืองนี้เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในประเทศและใหญ่เป็นอันดับที่ 4 ของโลกตามจำนวนประชากร ตั้งอยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ของบราซิล นอกจากนี้ยังเป็นเมืองที่มีความมั่งคั่งที่สุดในประเทศ ชื่อเซาเปาโลเป็นภาษาโปรตุเกส มีความหมายว่า "นักบุญพอล" ทั้งนี้เมืองเซาเปาโลได้ชื่อว่า “นิวยอร์กแห่งละตินอเมริกา” เนื่องจากเป็นเมืองธุรกิจ ศูนย์กลางการค้าและการลงทุน
ยอดเขาซูการ์โลฟ (Sugarloaf Mountain) ยอดเขาที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากหาดโคปาคาบานา ในเมืองริโอ เดอ จาเนโร มีความสูง 1,400 เมตร ซึ่งสูงตระหง่านอยู่ที่ปลายแหลมสุดของปากอ่าว กวานาบารา และตั้งโดดเด่นคู่กับภูเขาคอร์โควาโด ท่านสามารถชมทิวทัศน์และภาพอันงดงามของเมืองริโอ เดอจาเนโร จากมุมสูงของยอดเขาชูการ์โลฟ
เมืองริโอ เดอ จาเนโร (Rio de Janeiro) ตั้งอยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ ของประเทศบราซิล แม้ไม่ได้เป็นเมืองหลวงของบราซิล แต่ก็เป็นเมืองใหญ่ที่มีความสำคัญต่อประเทศ รองๆจากบราซิเลีย ซึ่งเป็นเมืองหลวง และเซาเปาโล เมืองสำคัญอีกเมืองหนึ่งของบราซิล นอกจากนี้ยังเป็นศูนย์กลางของเทศกาลคาร์นิวัลของประเทศ มีทิวทัศน์สวยงามและหลากหลาย ประกอบด้วยภูเขา ทะเล ป่าไม้ และทะเลสาบกลางเมืองที่สวยงามเป็นอย่างมาก
สนามกีฬามารากาน่า (Maracana stadium) ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นเหมือนวิหารของฟุตบอลบราซิล เป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมอันดับ 3 ของเมือง และเป็นสถานที่ที่ชาวเมืองภาคภูมิใจมาก มีเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ของฟุตบอลบราซิลเกิดขึ้นที่นี่มากมาย เช่น การยิงประตูที่ 1,000 ของเปเล่ ตำนานลูกหนังแซมบ้า และยังเป็นสนามที่เขาลงเล่นให้ทีมชาติเป็นนัดแรกด้วย สนามนี้ถูกใช้เป็นที่จัดพิธีเปิดการแข่งขันฟุตบอลโลกปี 2014 ที่บราซิลเป็นเจ้าภาพ รวมถึงจะใช้จัดพิธีเปิดและปิดกีฬาโอลิมปิก 2016
ฟลาเมนโกพาร์ค (Flamengo Park) สะพาน Neteroi เป็นสะพานคอนกรีตที่เชื่อต่อเมืองริโอเดอจาเนโร และ ไนเตโร ( Niteroi) ในบราซิล ก่อสร้างเมื่อเมื่อเดือน มกราคม ปี 1969 และเปิดใช้ในเดือน มีนาคม ปี 1974 ชื่ออย่างเป็นทางการคือ “President Costa e Silva Bridge” เพื่อเป็นการให้เกียรติแก่ประธานาธิบดีบราซิลที่สั่งการให้ก่อสร้างสะพานนี้ นอกจากนี้นักท่องเที่ยวยังสามารถลัดเลาะไปตามชายฝั่งทะเล ผ่านชายหาดที่มีชื่อเสียงก้องโลก จนถึงหาดโคปาคาบานา (Copacabana Beach) ที่มีความยาวกว่า 4 กิโลเมตร ได้อีกด้วย
ยอดเขาคอร์โควาโด (Corcovado Mountain) อันเป็นที่ตั้งของรูปปั้นของพระเยซู ชื่อ Christ of Redeemer ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก และ ได้รับการโหวตให้เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ รูปปั้นพระเยซูที่มีความสูงประมาณ 700 เมตรนี้ ตั้งตระหง่านอยู่บนยอดเขาคอร์โควาโด เป็นจุดชมวิวที่มองเห็นเมืองและชายหาดที่สวยที่สุด นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นรถรางไปบนยอดเขาเพื่อมองรูปปั้นอันเป็นที่เคารพสักการะของชาวบราซิลและคริสต์ศาสนิกชนทั่วโลกได้อย่างใกล้ชิด
ปราสาทโบดรัม หรือโบดรุม หรืออีกชื่อคือ ปราสาทเซนต์ปีเตอร์ (Bodrum Castle | St Peter Castle) ตั้งอยู่ในเมืองโบดรัม ประเทศตุรกี ถูกสร้างขึ้นในปี 1402 โดย อัศวิน Hospitaller เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่มีความสำคัญและโดดเด่นที่สุดของเมืองโบดรัม ต่อมาในปี 1962 รัฐบาลตุรกีได้ตัดสินใจที่จะเปิดปราสาทให้เป็นพิพิธภัณฑ์โบราณคดีใต้น้ำ (Museum of Underwater Archaeology) เนื่องจากมีการค้นพบซากเรือโบราณในทะเลอีเจียนเป็นจำนวนมาก ได้มีการนำโบราณวัตถุที่สำคัญๆ ซึ่งค้นพบพร้อมกับซากเรืออัปปาง
น้ำตกอีกวาซู (Iguaza Fall) ซึ่งเป็นคำมาจากภาษากวารานี แปลว่า “สายน้ำอันยิ่งใหญ่” ค้นพบโดยนักสำรวจชาวสเปน น้ำตกอีกวาซูตั้งอยู่บริเวณรอยต่อพรมแดนประเทศอาร์เจนตินา (รัฐมิซิโอเนส) กับบราซิล (รัฐปารานา) เป็นน้ำตกที่ใหญ่ที่สุดในทวีปอเมริกาใต้ และขึ้นชื่อว่าใหญ่ที่สุดในโลกโดยใหญ่กว่าน้ำตกไนแองการ่าประมาณ 30 เท่า โดยบริเวณรอบน้ำตกจะเกิดละอองน้ำอยู่ตลอดเวลาและมีเสียงดังไปไกลถึง 24 กิโลเมตร บนฝั่งประเทศบราซิลจะมองเห็นน้ำตกได้ทั่วถึงและงดงาม แต่ทางฝั่งประเทศอาร์เจนตินาสามารถเข้าชมน้ำตกได้ใกล้กว่า
เขื่อนอิไตปู (Taipu Dam) เขื่อนคอนกรีตขนาดใหญ่ ซึ่งในอดีตนั้นจัดว่ามีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ก่อนที่เขื่อนในประเทศจีนจะมีการก่อสร้างเสร็จ เขื่อนอิไตปูสร้างในปีค.ศ.1984 แล้วเสร็จในปีค.ศ.1988 รวมระยะเวลาการก่อสร้าง 4 ปี คำว่า “อิไตปู” มาจากภาษากวารานิของชาวอินเดียนแดงชนเผ่าดั้งเดิม แปลว่า “เสียงเพลงจากก้อนหิน” เขื่อนอิไตปู กั้นแม่น้ำปารานาบริเวณเขตแดนระหว่างประเทศบราซิลกับประเทศปารากวัย ซึ่งนอกจากเป็นผนังกั้นน้ำและผลิตกระแสไฟฟ้าแล้ว ยังเป็นสะพานเชื่อมต่อระหว่างสองประเทศอีกด้วย
กรุงบัวโนสไอเรส (Buenos Aires) เมืองหลวงของอาร์เจนตินา เป็นเมืองที่มีสถานที่ท่องเที่ยวมากมายทั้งกลางวันและกลางคืน หลังจากไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ สวน และย่านชุมชนต่างๆ ในตอนกลางวันแล้ว หลังพระอาทิตย์ตกดินนักท่องเที่ยวยังสามารถไปเที่ยวยามค่ำคืนก็ได้อีกบรรยากาศหนึ่ง เริ่มต้นด้วยการรับประทานอาหารมื้อดึก นั่งดื่มในร้านบรรยากาศดี สนุกสนานกับจังหวะแทงโก้จนทำให้คุณเพลิดเพลินลืมตัวถึงรุ่งเช้า
มหาวิหารโรเซอร์เรตต้า (The Metropolitan Cathedral) สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1677 และได้พังทลายลงในปี 1753 ต่อมาได้มีการบูรณะสร้างโบสถ์แห่งนี้ขึ้นมาใหม่โบสถ์แห่งนี้เป็นที่ฝังศพของ นายพลโฮเซ่ เดอ ซานมาร์ติน นักปฎิวัติผู้ยิ่งใหญ่และผู้นำอิสรภาพสู่อาร์เจนตินา
เสาโอบิลิกส์ (Obelisk El Obelisco) สร้างขึ้น ในปี 1936 ณ ส่วนกลางของถนนแห่งนี้ เป็นสถานที่ที่ธงอาร์เจนตินาถูกเชิญสู่ยอดเสาเป็นครั้งแรก เป็นที่จัดประชุมทางการเมือง งานดนตรี และเป็นสถานที่ฉลองชัยชนะของทีมฟุตบอลอาร์เจนตินา
ที่ฝังศพของเอวิต้า เปรอง (Tomb of Evita Peron) หรือ เอวา เปรอง อดีตสตรีหมายเลขหนึ่งของประเทศอาร์เจนตินา ผู้ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้นายพลฮวน เปรอง ได้รับตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งอาร์เจนตินา ด้วยคำแนะนำต่างๆของเธอ เอวิต้า เปรอง เสียชีวิตเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ.2495 ด้วยโรคมะเร็งมดลูก ด้วยวัยเพียง 33 ปีเท่านั้น ซึ่งสร้างความเศร้าเสียใจกับประชาชนชาวอาร์เจนตินาเป็นอย่างมาก
ธารน้ำแข็ง เปริโต มอเรโน (Perito Moreno Glacier) ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติลอส กลาซิอาเรส ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของ Santa Cruz เป็นหนึ่งใน ธารน้ำแข็ง แห่ง Patagonia ที่นักท่องเที่ยวอยากไปเยือนมากที่สุด สวยมหัศจรรย์จน UNESCO ยกให้เป็น มรดกโลก ในปี ค.ศ. 1981 พื้นที่อุทยานฯ แห่งนี้ ถูกปกคลุมด้วยธารน้ำแข็ง ทั้งหมด แต่ด้วยอุณหภูมิที่อุ่นขึ้น จึงทำให้ก้อนน้ำแข็งละลาย และเหลืออยู่ให้เห็นในปัจจุบัน นักท่องเที่ยวที่มาเยือนต่างใจจดจ่อรอชมและฟังเสียงก้อนน้ำแข็งยักษ์หล่นลงสู่ทะเลสาบ Argentino
เปอร์โต บานเดอร่า (Puerto Bandera) หมู่บ้านที่ตั้งอยู่ในจังหวัดซานตาครูซ ซึ่งอยู่ห่างจากเอล คาฟาเต้ไปประมาณ 47 กิโลเมตร เพื่อล่องเรือชมธารน้าแข็งอุปซาลา (UPSALA GLACIER) โดยเรือจะล่องไปตามทะเลสาบอาร์เจนติน (ARGENTINE LAKE) ซึ่งเป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในอาร์เจนติน่าตื่นตาตื่นใจกับธารน้ําแข็งที่มีความยาวกว่า 50 กิโลเมตร กว้างประมาณ 10 กิโลเมตร เป็นธารน้ําแข็งที่ใหญ่ที่สุดในบริเวณนี
ธารน้ำแข็งอัปซาลา (Upsala Glacier) เป็นธารน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่ถือเป็น 1 ใน 10 สถานที่ในโลกที่เหมาะจะดูธารน้ำแข็ง และเป็นธารน้ำแข็งที่ยาวที่สุดเป็นอันดับสองในอเมริกาใต้ ท่านจะได้สัมผัสความสวยงามของทะเลสาบอาร์เจนติน่า (Argentine Lake) ซึ่งเป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในอาร์เจนติน่า และตื่นตาตื่นใจกับธารน้ำแข็งที่มีความยาวกว่า 50 กิโลเมตร กว้างประมาณ 10 กิโลเมตร ซึ่งถือเป็นธารน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดในบริเวณนี้
เมืองปุนตาอาเรนัส (Punta Arenas) เมืองหลวงแคว้นมากายาเนสและลาอันตาร์ตีกาชีเลนา แคว้นใต้สุดของชิลี เป็นเมืองใหญ่ที่สุดทางซีกโลกใต้บนเส้นรุ้งที่ 46 เดิมได้เปลี่ยนชื่ออย่างเป็นทางการเป็น มากายาเนส ในปี ค.ศ. 1927 แต่เปลี่ยนกลับมาใช้ ปุนตาอาเรนัส เหมือนเดิมในปี ค.ศ. 1938 และตั้งแต่ปี ค.ศ. 1977 เป็นหนึ่งในสองเมืองของชิลีที่เป็นเมืองท่าปลอดภาษี เมืองตั้งอยู่ข้างช่องแคบแมกเกนแลน มีความสำคัญด้านภูมิศาสตร์ของเมืองทำให้เมืองมีความสำคัญด้านการทหารในคาบสมุทรแอนตาร์กติก ในศตวรรษที่ 20 และ 21
เมืองซานเตียโก หรือ ซานติอาโก (Santiago) เมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศชิลี ตั้งอยู่ที่ระดับความสูง 520 เมตร (1,700 ฟุต) ในหุบเขาตอนกลางของประเทศ และเป็นส่วนหนึ่งของแคว้นซานเตียโกเมโทรโพลิแทน กว่าสามศตวรรษที่การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องได้เปลี่ยนให้ซานเตียโกเป็นเขตนครหลวงที่ทันสมัยที่สุดแห่งหนึ่งในละตินอเมริกา พร้อมๆ กับการพัฒนาเขตชานเมืองอย่างกว้างขวาง ศูนย์การค้าหลายสิบแห่ง และสถาปัตยกรรมที่น่าประทับใจ รวมทั้งมีระบบโครงสร้างพื้นฐานที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของละตินอเมริกาอีกด้วย
ย่าน เบอร์นาโด โอ ฮิกกิ้น อเวนิว (Bernardo O Higgins Avenue) หรือที่ชาวชิลีรู้จักในนาม La Alameda หมายถึงถนนที่เต็มไปด้วยต้นปอปล่า นับเป็นถนนสายหลักของเมืองซานเตียโก และเป็นย่านเมืองเก่าที่ยังคงความคลาสสิค
มหาวิหารแห่งซานเตียโก (Cathedral of Santiago) เป็นมหาวิหารที่สร้างด้วยศิลปะนีโอคลาสสิคสร้างตั้งแต่ปี 1748 แล้วเสร็จในปี 1800 เป็นรูปแบบสถาปัตยกรรมอันโดดเด่นผสานเข้ากับความเลิศล้ำแห่งศิลปะเชิงศาสนา ภายในอาคารกว้างใหญ่ที่ตกแต่งอย่างตระการตา นอกจากนี้วิหารแห่งนี้ยังเป็นสถานประกอบศาสนกิจ นักท่องเที่ยวจึงควรสำรวมกิริยาและแต่งกายสุภาพ พิพิธภัณฑ์เปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าชมเฉพาะในวันจันทร์เท่านั้น โดยสามารถเข้าชมฟรีสำหรับทั้งตัววิหารและพิพิธภัณฑ์
พระราชวังโมนิดา (La Moneda Palace) ซึ่งปัจจุบันคือ ทำเนียบประธานาธิบดีของประเทศชิลี และใช้เป็นสถานที่ราชการของกระทรวงต่างๆของประเทศชิลี นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมและถ่ายรูปบริเวณลานด้านหน้า พระราชวังแห่งนี้ออกแบบโดย โจแอนควิน โทเอากา สถาปนิกชาวอิตาเลียน สร้างขึ้นในปี 1784-1805 ในแบบสถาปัตยกรรมนีโอคลาสสิค และมีเสาโรมันขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านเป็นซุ้มประตู ความสวยงามและเก่าแก่ของพระราชวังแห่งนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนจากองค์การยูเนสโก้ อีกด้วย
เกาะอีสเตอร์ (Easter Island) เป็นเกาะขนาดเล็กที่ถือว่าตั้งอยู่โดดเดี่ยวแห่งหนึ่งของโลก โดยเกาะนั้นมีพื้นที่เพียง 160 ตารางกิโลเมตร มีความยาว 25 กิโลเมตร แต่ถึงแม้ว่าเกาะจะมีขนาดเล็ก แต่ประวัติศาสตร์ของเกาะอีสเตอร์นั้นยิ่งใหญ่เกินขนาดของเกาะเป็นหลายเท่าตัวเลยโดยสิ่งก่อสร้างที่ถือว่าเป็นตัวแทนของประวัติศาสตร์ของเกาะแห่งนี้ คือ รูปสลักหินขนาดยักษ์ หรือที่รู้จักในนาม “โมอาย” (Moai)
อุทยานแห่งชาติราปานุย (Rapa Nui National Park) ดินแดนแสนมหัศจรรย์ที่ควรมาสัมผัสสักครั้ง เกาะแห่งนี้ตั้งอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิก อยู่ในการปกครองของประเทศชิลี ในอุทยานแห่งนี้มี่สิ่งมหัศจรรย์ของเกาะ นั่นก็คือ รูปสลักยักษ์ของชาวพื้นเมืองซึ่งเคยอาศัยอยู่บนเกาะแห่งนี้ รูปสลักยักษ์ที่ว่านั่นก็คือ โมอาย (moai) ซึ่งสามารถพบเห็นได้ทั่วไปในเกาะแห่งนี้ นอกจากนี้ยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก้ในปี 1995 อีกด้วย
เหมืองหิน ราโน ราราคู (Rano Raraku) ซึ่งเป็นที่ที่พบโมอายอยู่กว่า 400 ตัว อยู่ในกระบวนการแกะสลักซึ่งใกล้เสร็จสมบูรณ์ จากการค้นพบรูปปั้นที่ยังแกะสลักอยู่ครึ่งๆกลางๆนั้น ทำให้มีการสันนิษฐานว่าเหมืองหินได้ถูกทิ้งร้างไปอย่างกะทันหัน นอกจากนั้นในการค้นพบโมอายเกือบทั้งหมดอยู่ในสภาพล้มนอน เชื่อว่าชาวพื้นเมืองบนเกาะเป็นผู้ทำให้มันล้ม ลักษณะที่เด่นชัดของโมอาย คือส่วนหัว แต่ก็มีโมอายหลายตัวซึ่งมีส่วนหัวไหล่ แขน และลำตัว ซึ่งเป็นโมอายที่พบหลังจากถูกฝังมานานนับปี
หมู่บ้านโอรองโก (Orongo Ceremonial Village) หมู่บ้านที่ใช้จัดพิธีการเลือกหัวหน้าเผ่า ผู้ครองเกาะ โดยการที่ชายหนุ่มที่มีความแข็งแกร่งกระโดดลงหน้าผา และ ว่ายน้ำข้ามไปยังเกาะนก เพื่อไปนำไข่นกแล้วว่ายน้ำกลับมายังเกาะอีสเตอร์ เป็นพิธีการเลือกผู้นำของชาวลาปานุยมาช้านาน อิสระให้ท่านได้เก็บภาพและชมทัศนียภาพอันสวยงามของเกาะนก และเกาะอีสเตอร์ ตลอดจนบ้านพักอาศัยของชาวเมืองในสมัยก่อน
เมืองบัลปาราอีโซ (Valparaiso) เป็นหนึ่งในเมืองท่าที่สำคัญที่สุดและศูนย์กลางวัฒนธรรมที่เริ่มมีชีวิตชีวาขึ้นเรื่อยๆ ของประเทศชิลี ตั้งอยู่ทางตอนกลางของประเทศ เมืองบัลปาราอีโซได้รับการยกย่องจากองค์การยูเนสโก้ ให้เป็นเมืองมรดกโลกในปี 2007 เนื่องจากเป็นเมืองที่สะท้อนให้เห็นถึงยุคทองทางการค้าในสมัยศตวรรษที่ 19 นำท่านเที่ยวชมความแปลกตาของบ้านเมืองที่ทาสีสัน สดใสตลอดแนวชายฝั่งทะเล และหมู่อาคารที่สะท้อนสถาปัตยกรรมแบบโคโลเนียล สมัยศตวรรษที่ 19
เมืองวินนาเดลมา (Vina del Mar) ซึ่งเป็นเมืองหนึ่งที่ตั้งอยู่ในเขตเมืองบัลปาราอีโซ เมืองที่ได้รับการขนานนามว่า “เมืองแห่งสวน” (City of Garden) นอกเหนือจากสวนสวยที่เพิ่มภูมิทัศน์ของเมือง ยังเป็นที่ตั้งของสวนพฤษกศาตร์ของชิลีอีกด้วย
หุบเขาคูลาคาฟว์ (Curacavi Valley) อันเป็นที่ตั้งของไร่องุ่นพันธุ์ดีที่ใช้ในการผลิตไวน์อันเลื่องชื่อของประเทศชิลี ซึ่งเป็นอีกอุตสาหกรรมที่ทำรายได้มหาศาลให้กับประเทศชิลี ตลอดเส้นทางเรียบชายฝั่งทะเลมุ่งสู่ไร่องุ่นและโรงบ่มไวน์อันเลื่องชื่อ ท่านจะได้สัมผัสกับทัศนียภาพ ท้องทะเลสลับกับชายฝั่งเทือกเขาสูง นับเป็นอีกทัศนียภาพที่สร้างความประทับใจให้นักท่องเที่ยวที่ได้มาเยือน
หุบเขาคาซาบลังกา (Casablanca Valley) ซึ่งเป็นแหล่งผลิตไวน์ชั้นเยี่ยมของชิลี ณ ที่แห่งนี้ ท่านจะได้ลิ้มชิมรสไวน์ หลากหลายรูปแบบที่ผลิตและส่งออกนอกประเทศ
พิพิธภัณฑ์ทองคำ (Gold Museum) เป็นสถานที่รวบรวมศิลปวัตถุที่ทำจากทองคำและเงินจากอารยธรรมโบราณที่ใหญ่ที่สุดในเปรู พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เต็มไปด้วยวัตถุต่างๆ มากกว่า 7,000 ชิ้น รวมไปถึงผลงานทางศิลปะและหินล้ำค่าบางชนิด นอกจากนี้ยังมีอาวุธต่างๆ ที่สะสมไว้ราว 20,000 ชิ้นจากทั่วทุกมุมโลก พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดสองชั้นซึ่งสร้างคอนกรีตเสริมป้องกันวัตถุอันมีค่าไว้ นอกจากนี้ยังมีห้องนิรภัยขนาดใหญ่ที่เก็บวัตถุล้ำค่าที่สุดบางชิ้นของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้
เมืองโบราณปาชาคามา (Pachacamac Ruins) ซึ่งมีความหมายว่า “ผู้สร้างโลก” เป็นเมืองโบราณที่สร้างขึ้นและสันนิษฐานว่าสร้างขึ้นระหว่างปี 800-1450 ก่อนคริสตกาล ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของกรุงลิมา ในอดีตปกครองโดยอาณาจักรอินคา บริเวณโดยรอบเป็นที่ตั้งของปิระมิดหลากหลายรูปแบบที่ได้มีการขุดค้นพบขึ้น และส่วนที่เรียกได้ว่าสมบูรณ์ที่สุดคือ วิหารปาชาคามา
เมืองคูซโก้ (Cuzco) เมืองหลวงของอาณาจักรอินคา ที่แพร่ขยายอำนาจจนกินพื้นที่ 2 ใน 3 ของอเมริกาใต้ ตั้งอยู่เหนือระดับน้ำทะเลถึง 3,400 เมตร และเป็นแหล่งอารยธรรมยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่ลึกลับน่าทึ่ง เป็นชุมชนเก่าแก่ของจักรวรรดิอินคาอันรุ่งเรือง ซึ่งยังคงทิ้งร่องรอยความเจริญไว้ให้เห็นเป็นซากปรักหักพักโบราณและโบราณวัตถุต่างๆ
วิหารโคริคันชา (Qoriqancha หรือที่รู้จักในนาม วิหารพระอาทิตย์ The Sun Temple) ที่สร้างขึ้นเพื่อถวายแด่เทพเจ้าดวงอาทิตย์ จากนั้นสัมผัสกับความมหัศจรรย์ในการก่อสร้างที่แข็งแรงของกำแพงเมืองของชาวอินคา กำแพงซัคเซฮัวมัน (Sacsayhuaman) ที่สร้างขึ้นพื่อป้องกันการรุกรานของศัตรูและป้องกันแผ่นดินไหว สิ่งเหล่านี้ได้แสดงถึงความเชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมของชาวอินคาอย่างน่าประหลาดใจ
อาณาจักรอินคา มาชูปิคชู (Machu Picchu) 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ใหม่ล่าสุดของโลกโดยรถไฟไต่ขึ้นเทือกเขาแอนดิสอันยิ่งใหญ่ ระหว่างทางท่านจะได้ชมความสวยงามและความลึกลับของบรรยากาศโดยรอบที่เข้ากับสถานที่ ข้างทางเป็นแม่น้ำ อูรูบัมบา (Urubamba) ไหลแรงคดเคี้ยวขนานไปกับทางรถไฟสู่ปลายทางที่สถานีเมืองอควาส์ กาเลียนเต้ส์ (Aquas Calientes)
จตุรัสอาร์ม (Arms Square) หรือที่รู้จักในนาม จตุรัสนักรบ (Square of the warrior) จตุรัสแห่งนี้เป็นที่ตั้งของ โบสถ์ลาคัมปาเนีย (Church of la Compania de Jesus) โบสถ์แห่งนี้สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1576 และได้รับการยกย่องว่าเป็นโบสถ์ที่สร้างแบบสถาปัตยกรรมโคโลเนียล บาโร๊คที่สวยงามคู่เมืองคูซโก้มานาน
กรุงลิมา (Lima) เมืองหลวงที่ยังคงรักษาความเป็นละตินอเมริกาไว้อย่างสมบูรณ์ที่สุดเมืองหนึ่ง เมืองลิมาตั้งขึ้นเมื่อ ค.ศ.1535 โดยชาวสเปนชื่อฟรานซิสโก ปิซาโร และ ในปี ค.ศ.1991 องค์การยูเนสโก้ได้ประกาศให้ลิมาเป็นเมืองมรดกทางวัฒนธรรม
สนามบินสุวรรณภูมิ หรือ ท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ ตั้งอยู่ในในเขตอำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ ห่างจากใจกลางเมืองกรุงเทพมหานคร 25 กิโลเมตร เปิดให้บริการเชิงพาณิชย์เต็มรูปแบบอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2549 ซึ่งรัฐบาลได้กำหนดให้ท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ เป็นท่าอากาศยานหลักของประเทศไทยแทนท่าอากาศยานดอนเมือง และสนามบินสุวรรณภูมิเคยให้ได้รับการจัดอันดับให้เป็น 1 ใน 10 ท่าอากาศยานที่มีคุณภาพการบริการดีที่สุดในโลกในปี พ.ศ. 2553