หากคุณสนใจสามารถติดต่อสอบถามโดยตรงได้ที่
02 105 6234 หรือ CustomerService@Mushroomtravel.com
สนามบินสุวรรณภูมิ หรือ ท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ ตั้งอยู่ในในเขตอำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ ห่างจากใจกลางเมืองกรุงเทพมหานคร 25 กิโลเมตร เปิดให้บริการเชิงพาณิชย์เต็มรูปแบบอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2549 ซึ่งรัฐบาลได้กำหนดให้ท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ เป็นท่าอากาศยานหลักของประเทศไทยแทนท่าอากาศยานดอนเมือง และสนามบินสุวรรณภูมิเคยให้ได้รับการจัดอันดับให้เป็น 1 ใน 10 ท่าอากาศยานที่มีคุณภาพการบริการดีที่สุดในโลกในปี พ.ศ. 2553
อนุสาวรีย์ Ban Josip Jelacic (Ban Josip Jelacic Monument) อนุสาวรีย์แห่งนี้มีที่ใจกลางจัตุรัสหลักของ Jelacic ในกรุงซาเกร็บ ตั้งอยู่บนฐานสูงที่น่าภาคภูมิใจ สำหรับคนท้องถิ่นเป็นรูปปั้นของประวัติศาสตร์ของนายพลผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ซึ่งต่อสู้เพื่อเป็นอิสระจากชาวฮังการีเมื่อปี ค.ศ. 1848 อนุสาวรีย์แห่งนี้ตั้งอยู่ในจัตุรัสหลักในเมือง ซึ่งประกอบไปด้วยร้านค้าและย่านช้อปปิ้ง ร้านกาแฟ ร้านอาหาร และร้านอื่น ๆ อีกมากมาย ทั้งด้านหลังและด้านหน้าของอนุสาวรีย์แห่งนี้เลยทีเดียว
มหาวิหารเซนต์สตีเฟน (St Stephens Cathedral) ตั้งอยู่ในเมืองซาเกร็บ เป็นวิหารอันมีอายุเก่าแก่ที่สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1093 ปัจจุบันได้รับการบูรณะใหม่ในสถาปัตยกรรมแบบนีโอ-โกธิค หลังจากที่ถูกกองทัพมองโกลทำลายในปี ค.ศ. 1242 โดยมีลักษณะเป็นหอคอยแฝดปลายแหลมสีทอง ที่มีความแปลกตรงที่มีขนาดความสูงที่ไม่เท่ากัน ส่วนภายในวิหารนั้นประดิษฐานรูปปั้นนักบุญที่สำคัญ ทั้งเซนต์ปีเตอร์และเซนต์ปอล นอกจากนั้นยังมีความโดดเด่นอีกอย่างคือ หลังคาวิหารที่ปูกระเบื้องเป็นรูปตราสัญลักษณ์ของกองกำลังทหารในยุคกลางนั่นเอง
ตลาดโดแลคเป็นตลาดเกษตรกรที่ตั้งอยู่ในเมืองซาเกร็บ ประเทศโครเอเชีย และอยู่ไม่ไกลจากจัสตุรัสกลางเมืองมากนัก ซึ่งตลาดโดแลคถือว่าเป็นตลาดที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งสำหรับนักท่องเที่ยว เนื่องจากมันเป็นตลาดเก่าแก่ในการซื้อขายสินค้าทางด้านการเกษตรมาตั้งแต่ปี 1926 โดยในอดีตชาวเกษตรกรที่อยู่หมู่บ้านรอบๆ บริเวณนี้จะนำผลผลิตของพวกเขาออกมาวางขาย ไม่ว่าจะเป็นผักหรือผลไม้สดๆ รวมถึงอาหารในสไตล์โฮมเมด แต่ในปัจจุบันสินค้าของที่นี่ยังครอบคลุมไปถึงสินค้าประเภทอื่นๆ ที่นอกเหนือจากสินค้าทางเกษตร
ประตูเมืองเก่าสโตนเกท สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 13 เป็นประตูเมืองที่ยังหลงเหลืออยู่มีรูปพระแม่มารีรอดพ้นจากไฟไหม้ครั้งใหญ่ในปี ค.ศ.1731 เชื่อกันว่าเกิดจากปาฏิหาริย์อันศักดิ์สิทธิ์ โดยไม่เสียหายจากไฟไหม้ เพื่อป้องกันภาพวาด จึงมีการสร้างโบสถ์เพิ่มเติมและภาพวาดที่ยังคงอยู่ด้านหลังตะแกรงโลหะ ปัจจุบัน มีผู้เข้าไปชมภาพวาดอย่างสม่ำเสมอ โดยเข้ามามาสวดมนต์และให้ของขวัญแด่โบสถ์นี้
เมืองโอบาเทีย..เมืองตากอากาศสุดหรูของเศรษฐียุโรปและขุนนางในอดีต เมืองที่ได้รับสมญานามว่า 'ไข่มุกแห่งทะเลอาเดรียติค' เมืองพักผ่อนตากอากาศริมที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโครเอเชีย แบบริเวียร่าที่มีอากาศดีตลอดทั้งปี ตัวเมืองลดหลั่นไปตามไหล่เขาเป็นทั้งวิลล่าตากอากาศ,โรงแรมชั้นนำ แหล่งบันเทิงและร้านอาหาร,จัตุรัสกลางเมืองมีรูปปั้นสตรีและนกนางนวล อันเป็นสัญลักษณ์ของเมือง อิสระให้พักผ่อนกับบรรยากาศชั้นเลิศ
นางแห่งนกนางนวล (Maiden with the Seagull) ซึ่งเป็นรูปปั้นที่แกะโดย Zvonko Car นักประติมากรที่มีชื่อเสียง นางแห่งนกนางนวลนี้เป็นรูปปั้นสตรีงดงามที่มีนกนางนวลเกาะอยู่ที่มือ ซึ่งถือว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งเมือง และมักจะมีนกนางนวลจริง ๆ บินมาเกาะที่รูปปั้นนี้เป็นประจำ
พูลาเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในเขตมณฑลอีสเตรีย ประเทศโครเอเชีย โดยเมืองแห่งนี้ตั้งอยู่ที่ปลายด้านใต้ของคาบสมุทรอิสเตรีย และเช่นเดียวกับเมืองอื่นๆ ในภูมิภาคนี้ พูลามีชื่อเสียงว่ามีสภาพอากาศที่อบอุ่น ทะเลสงบ และมีธรรมชาติที่สวยงาม อีกทั้งเมืองแห่งนี้ยังมีวัฒนธรรมท้องถิ่นที่ยาวนานในเรื่องการผลิตไวน์ การตกปลา การต่อเรือและการท่องเที่ยว นอกจากนี้เมืองพูลายังเคยตกเป็นอาณานิคมของโรมันมาตั้งแต่สมัยโบราณ ดังนั้นผู้คนที่นี่จึงใช้ภาษาอิตาเลี่ยนกันอย่างแพร่หลาย ไม่เว้นแม้กระทั่งป้ายจราจร
พูล่า อารีน่า (Pula Arena) สนามกีฬากลางแจ้งที่สร้างขึ้นในสมัยโรมัน และเป็นสนามที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่ 6 ในยุคอาณาจักรโรมัน ปัจจุบันมักใช้เป็นสถานที่จัดงานกิจกรรมกลางแจ้ง เทศกาลดนตรี รวมทั้งเป็นสถานที่จัดงานภาพยนตร์ประจำปี (International Film Festival) อีกด้วย
เมืองริมชายทะเลที่ตั้งอยู่ทางเหนือของทะเลอาเดรียติก ภายในเขตชายฝั่งตะวันตกของคาบสมุทรอีสเตรียที่มีประชากรอาศัยอยู่แค่ 14,294 คน และด้วยความที่ดินแดนแห่งนี้เคยตกอยู่ภายใต้การปกครองของโรมันมาก่อน ดังนั้นจึงทำให้สถาปัตยกรรมและวัฒนธรรมของเมืองนี้ค่อนข้างมีความคล้ายคลึงกับประเทศอิตาลี ถือว่าเป็นอีกหนึ่งเมืองที่เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยว เพราะเต็มไปด้วยรีสอร์ท อาคารบ้านเรือน และมีตรอกซอกซอยที่ปูพื้นด้วยก้อนหินดูแปลกตา มีร้านกาแฟ ร้านอาหารมากมาย รวมทั้งยังมีสะพานปลาที่คึกคักด้วย
โบสถ์นักบุญยูฟีเมีย (Church of St. Euphemia) ตุังอยู่บนเนินสูงสุดของเขตเมืองเก่า เป็นโบสถ์สไตล์บาร็อคที่มียอดโบสถ์สูงถึง 61 เมตร ซึ่งถ้ามองมองลงไปเบื้องหน้าจะเป็นผืนน้ำสีเขียวใสของทะเลเอเดรียติกกว้างไกลออกไปสุดหูสุดตา และถือได้ว่าเป็นยอดโบสถ์ ทีสูงที่สุดของแคว้น เลยทีเดียว
เมืองพลิตวิเซ่ แห่งแคว้น Istria&Kvarner ระหว่างทางเต็มไปด้วยธรรมชาติ และความงามของทิวทัศน์สองข้างทางที่รายล้อมด้วยป่าเขาสลับทุ่งหญ้า ฟาร์มการเกษตรที่อุดมสมบูรณ์ มีอุทยานแห่งชาติพลิตวิเซ่ เจเซร่า ที่มีน้ำมีทะเลสาบสีเขียวมรกตและสีฟ้า รวมกันถึง 16 ทะเลสาบสวยงามมาก โดยเฉพาะทะเลสาบคอสจัค เป็นทะเลสาบที่มีบรรยากาศของสายน้ำอันชื่นฉ่ำ บนพื้นน้ำสีคราม และเกาะแก่งในทะเลสาบ ตลอดจนไม้ป่าจำพวกสนและเฟอร์ เพลิดเพลินกับธรรมชาติที่สวยงามและอุดมสมบูรณ์
อุทยานแห่งชาติพลิตวิเซ่ เจเซร่า (Plitvice Lakes National Park) อุทยานแห่งนี้มีต้นกำเนิดมาจากน้ำในภูเขามาลา คาเปลา ที่กัดเซาะชั้นหินปูนและก้อนหินโดโลไมท์ มาเป็นระยะเวลานานหลายพันปี จนก่อเกิดเป็นน้ำตกที่ไหลลงสู่ทะเลสาบสีเขียวมรกต และสีฟ้าเทอร์ควอยซ์แวววาวภายในอุทยานถึง 16 แห่ง โดยเป็นสีที่เกิดจากการผสมผสานกันของแร่ธาตุต่าง ๆ และน้ำพุร้อนใต้ผืนดินแห่งนี้ ซึ่งแต่ละแห่งเชื่อมต่อกันด้วยสะพานไม้ ที่ลัดเลาะผ่านผืนน้ำ ต้นไม้ใหญ่ที่เขียวชอุ่ม และเนินเขาน้อยใหญ่ที่รายล้อมอุทยาน
ทะเลสาบคอสจัค (Lake Kozjak) เป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดและลึกที่สุดในบรรดา 16 ทะเสาบ ซึ่งตั้งอยู่ภายในอุทยานแห่งชาติพลิตวิเซ่ เจเซร่า ประเทศโครเอเชีย นั่นคือมีความกว้างถึง 81.5 เอเคอร์ และลึกกว่า 46 เมตร อีกทั้งยังเป็นทะเสาบที่ตั้งอยู่ด้านบนของเทือกเขา โดยมีน้ำตกมิลาโน่วัคซึ่งเป็นน้ำตกที่มีความสูงประมาณ 20 เมตร นำพาน้ำจากทะเลสาบคอสจัค ไหลลงมาสู่ทะเลสาบที่อยู่ชั้นล่างลงมา ซึ่งนั่นก็คือทะเลสาบมิลาโน่วัค
เมืองซาดาร์ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศโครเอเชีย ซึ่งในอดีตนั้นที่นี่เคยเป็นเมืองหลวงเก่าของภูมิภาคดัลเมเชียมาก่อน และมีบทบาทเป็นเมืองท่าที่สำคัญของคาบสมุทรเอเดรียติคมาตั้งแต่ในช่วงสมัยอยู่ภายใต้การปกครองของโรมัน และในปัจจุบันซาร์ดาร์กลายเป็นเมืองท่องเที่ยวที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมอันเก่าแก่และยาวนานมากกว่า 3,000 ปี ซึ่งสามารถดึงดูดผู้คนจากทั่วโลกที่หลงใหลในประวัติศาสตร์และสถาปัตยกรรมในแบบโรมาเนสก์และโกธิค ให้แพ็กกระเป๋าเดินทางมาที่นี่อย่างไม่ขาดสาย
โบสถ์โรมันคาทอลิกประจำเมืองซาดาร์ และถือว่าเป็นโบสถ์ที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคดัลมัลเชียซึ่งเป็นภูมิภาคทางชายฝั่งทะเลของโครเอเชีย โบสถ์แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 5-6 โดยใช้ศิลปะแบบโรมัน และได้รับการบูรณะใหม่ทั้งหมดในศตวรรษที่ 13 เนื่องจากได้รับความเสียหายจากการโจมตีของชาวเวนิสในช่วงสงครามศาสนา นอกจากนี้ โบสถ์อนาสตาเชียยังมีความสำคัญในด้านประวัติศาสตร์เพราะเคยเป็นสถานที่ที่พระสันตปาปา ถึง 2 พระองค์คือ พระสันตปาปาอเล็กซานพระสันตปาปาจอห์นพอลที่ 2 เคยเสด็จมาเยือน
ออร์แกนทะเล (Morske Orgulje) ซึ่งออกแบบโดย Nikola Basic สถาปนิกชาวซาดาร์ เพื่อสร้างสถาปัตยกรรมให้เป็นสีสันและแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ของเมือง แทนที่โบราณสถานที่ถูกทำลายลงในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ตามจุดประสงค์ของเทศบาลเมืองซาดาร์ ออร์แกนทะเลนี้สามารถสร้างเสียงอันรื่นรมย์โดยให้น้ำทะเลไหลเข้าไปในโพรงท่อ แล้วอากาศข้างในจะดันออกมาตรงโพรงท่อที่อยู่สูงกว่า ซึ่งทำให้เกิดเป็นเสียงในโทนต่าง ๆ ที่เราได้ยินอยู่นั่นเอง
เมืองซีเบนิคคือเมืองแห่งประวัติศาสตร์ที่สำคัญอีกเมืองหนึ่งของโครเอเชีย ตั้งอยู่ทางตอนกลางของประเทศ โดยทอดตัวยาวไปตามแนวชายฝั่งทะเลเอเดรียติก ซึ่งหากมองจากระยะไกลก็จะเห็นถึงความคลาสสิกของเมืองแห่งนี้ด้วยอาคารบ้านเรือนที่มุงหลังคากระเบื้องสีส้มสไตล์เรเนซองส์ทอดยาวริมฝั่งทะเล นอกจากนั้นซีเบนิคยังอุดมสมบูรณ์ไปด้วยภูมิทัศน์อันงดงาม รวมทั้งอนุสาวรีย์ทางวัฒนธรรมที่เต็มไปด้วยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ อีกทั้งที่นี่ยังเป็นศูนย์กลางทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมของมลรัฐหมู่เกาะชีเบนิค-คนีนอีกด้วย
โทรเกียร์คือเมืองเล็กๆ บนเกาะที่อยู่ไม่ไกลจากแผ่นดินใหญ่มากนัก ทั้งยังเป็นเมืองเก่าแก่มาตั้งแต่ยุคกรีกและโรมัน และผ่านการปกครองจากเชื้อชาติต่างๆ มาหลายยุคหลายสมัย นั่นจึงทำให้โทรเกีย์กลายเป็นอีกเมืองประวัติศาสตร์ของโครเอเชีย ด้วยสิ่งก่อสร้างต่างๆ อันเป็นผลิตผลจากการปกครองของอาณาจักรเวนิสในยุคเวนิเชียน ไม่ว่าจะเป็นโบสถ์ หรืออาคารบ้านเรือนในสถาปัตยกรรมแบบเรเนซองก์และบาโร้ก และนี่เองที่ส่งเสริมให้โทรเกียร์กลายเป็นเมืองท่องเที่ยวที่ทรงคุณค่าจนได้รับการรับรองให้เป็นอีกหนึ่งมรดกของโลก
มหาวิหารซานลอเรนโซ หรือ โบสถ์ซานลอเรนโซ สร้างขึ้นในแบบโรมันเนสค์และโกธิค ราวศตวรรษที่ 14 เป็นโบสถ์ประจำตระกูลเมดิซิ ตระกูลผู้ทรงอำนาจในอดีต แบ่งเป็นมี 3 ส่วนให้ชมคือ โบสถ์,ห้องสมุด,สุสานประจำตระกูล ตกแต่งอย่างวิจิตรด้วยหินสีต่างๆสวยงาม ภายในมียอดโดมเป็นภาพวาดการตัดสินครั้งสุดท้ายของพระเจ้าที่วาดขึ้นตั้งแต่คริสตศวรรษที่16,หอคิลป์จัดแสดงภาพวาดและงานประติมากรรมในสมัยคริสตศวรรษที่15–16 อันเป็นช่วงเวลาแห่งการพื้นฟูศิลปะวิทยาการ,ห้องโถงภายในมีสุสาน ตั้งของหลุมศพบุคคลสำคัญในตระกูลเมดิซิตกแต่งสวยงาม
เมืองสปลิตเป็นเมืองใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโครเอเชีย รวมทั้งยังเป็นอีกหนึ่งเมืองท่าที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจการค้าและการท่องเที่ยวของประเทศ เนื่องจากในแต่ละปีนั้นนักเดินทางจากทั่วโลกต่างมีจุดมุ่งหมายอยู่ที่นี่ไม่น้อยกว่าล้านคน ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะเสน่ห์อันล้นเหลือของสปลิต ไม่ว่าจะเป็นในฐานะของเมืองโบราณอันเก่าแก่และเป็นศูนย์กลางทางธุรกิจและการบริหารในศตวรรษที่ 15 และก่อเกิดสิ่งก่อสร้างอันทรงคุณค่าต่างๆ ตามมา อย่างเช่นพระราชวังดิโอคลีเธี่ยน หนึ่งในพระราชวังที่ถูกการรับรองให้เป็นมรดกของโลก
พระราชวังไดโอคลีเชียนตั้งอยู่ที่เมืองสปลิทประเทศโครเอเชีย โดยพระราชวังแห่งนี้สร้างโดยพระราชประสงค์ของจักรพรรดิไดโอคลีเชียนแห่งจักรวรรดิโรมัน เพื่อใช้เป็นสถานที่ประทับในบั้นปลายชีวิต เมื่อต้นคริสต์ศตวรรษที่ 4ลักษณะภายนอกเป็นพระราชวังขนาดใหญ่ที่ประกอบด้วยส่วนต่างๆ หลายส่วนนับตั้งแต่ทางเข้าหลัก อย่างเช่นมหาวิหารเทพเจ้าจูปิเตอร์ โบสถ์แห่งเทพวีนัส และวิหารโดมนิอุส เป็นต้น จึงทำให้พระราชวังแห่งนี้เป็นอีกหนึ่งสถานที่อันทรงคุณค่าจนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี 1979
เมืองสตอน เมืองเล็กๆที่มีความสงบเงียบริมโค้งอ่าวกว้าง เดิมเป็นเหมือนเมืองหน้าด่านของดูบรอฟนิค มีความเจริญรุ่งเรืองการค้าเกลือ ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ตัวเมืองถูกโอบล้อมเมืองด้วยกำแพงที่ทอดยาวราว 5กม มองเห็นได้จากระยะไกล ปัจจุบันเมืองนี้มีชื่อเสียงในเรื่องอาหารทะเลรสเลิศ เนื่องจากมีชื่อเสียงเรื่องฟาร์มเลี้ยงหอย โดยเฉพาะฟาร์มเลี้ยงหอยนางรมมีอยู่มากมาย นักท่องเที่ยวที่มาเยือนที่นี่ได้ชมขั้นตอนต่างๆของการเลี้ยงและอาจได้ชิมหอยนางรมสดๆจากทะเลอเดรียติค พร้อมด้วยไวน์สดที่คล่องคอแบบสุดๆ
เมืองดูบรอฟนิคเป็นเมืองโบราณที่ตั้งอยู่อยู่ทางตอนใต้ของประเทศโครเอเชีย และมีพรมแดนติดกับประเทศบอสเนีย-เฮอร์เซโกวีน่า ในอดีตในช่วงศตวรรษที่ 13 เมืองนี้เคยเป็นเมืองที่มีอำนาจทางเศรษฐกิจทางทะเล โดยครอบคลุมพื้นที่ทะเลเอเดรียติคและทะเลเมดิเตอเรเนียนทั้งหมด และเป็นเมืองที่ร่ำรวยที่สุดในยุคนั้นจนก่อให้เกิดปัญหาตามมา แต่ในปัจจุบันดูบรอฟนิคกลายเป็นเมืองท่องเที่ยวสำคัญของโครเอเชีย และได้รับการยอมรับว่าเป็นอีกหนึ่งเมืองเก่าที่สวยที่สุดในทวีปยุโรป จนทำให้ได้รับฉายาว่าเป็นไข่มุกแห่งทะเลเอเดรียติค
หรือ ประตูปิเล เป็นทางเข้าหลักของเมือง ที่เชื่อมอยู่กับสะพานหินที่มีอายุย้อนถึงปีค.ศ.1537 ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของย่านเขตเมืองเก่าดูบรอฟนิค เพื่อปกป้องเมืองภัยจากศัตรู เช่น พวกอาหรับ เวเนเชียน มาชีโดเนียนและเซิร์บ ซึ่งต้องเดินทางผ่านทางสะพานไม้ อันเป็นสะพานที่สามารถยกขึ้นทุกเย็น แล้วประตูเมืองจึงจะปิดล็อคเอง เหนือประตูปิเล มีรูปปั้นของนักบุญเบลส ซึ่งเป็นนักบุญอุปถัมภ์ของเมือง ซึ่งฝังตัวอยู่ในโค้งของประตูเมือง ออกแบบโดย Ivan Mestrovic นักประติมากรในศตวรรษ 20
หรือ น้ำพุโบราณทรงกลม เป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญมีชื่อเสียงของเมืองดูบรอฟนิค สร้างโดย โอโนฟริโอ้ เดลลา คาว่า ในปีคศ.1438 เพื่อใช้หล่อเลี้ยงประชากรในยามมีศึกสงคราม และเป็นส่วนหนึ่งของระบบน้ำประปาห่างจากบ่อ12กม ประดับด้วยรูปปั้นนักบุญต่างๆ แต่ได้รับความเสียหายอย่างหนักจากแผ่นดินไหวในคศ.1667 เหลือน้ำพุงเพียง16แห่งเท่านั้นไหลลงไปในสระว่ายน้ำเพื่อระบายน้ำ รอบๆน้ำพุ มีงานปูนปั้นสวยงามแสดงเป็นรูปหน้าของสัตว์ต่างๆ,หอระฆัง,น้ำพุขนาดเล็กๆตั้งอยู่ในจตุรัสลูซ่า ที่นี่..ท่านสามารถดื่มน้ำได้ด้วย
พระราชวังเร็กซ์เตอร์ (Rector's Palace) พระราชวังที่มีประตูโค้งพร้อมด้วยบัวหัวเสาแกะสลักสวยงาม สถาปัตยกรรมโกธิกผสมเรอเนสซองส์และบารอค อดีตเป็นที่ทำการรัฐบาล ในศตวรรษที่ 15 ตัวตึกถูกทำลายโดยระเบิดและได้สร้างใหม่โดย โอโนฟริโอ้ เดลลา คาวา ในรูปแบบโกธิค ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์ที่บอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ของเมือง ที่รวบรวมสมบัติล้ำค่าไว้มากมาย และยังใช้เป็นที่แสดงคอนเสิร์ตด้วย
เขตเมืองเก่าดูบรอฟนิคเป็นเขตเมืองซึ่งถูกโอบล้อมด้วยกำแพงโบราณสูงตระหง่านถึง 25 เมตร ที่สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 13 เพื่อใช้ป้องกันการรุกรานของศัตรู โดยประตูเมืองตั้งอยู่ทางทิศตะวันตก ส่วนภายในกำแพงหินนั้นเต็มไปด้วยสิ่งก่อสร้างที่ยังคงความเป็นเอกลักษณ์ของเมืองเก่าด้วยสถาปัตยกรรมแบบโกธิก-บาโร้ก รวมทั้งถนนการค้าเส้นสำคัญที่ปูพื้นด้วยหินด้วยความยาว 292 เมตร ซึ่งเกือบทั้งหมดภายในเขตเมืองเก่านี้คือสิ่งที่ถูกบูรณะขึ้นใหม่จากความเสียหายเพราะเหตุการณ์การต่อสู้แบ่งแยกดินแดนจากยูโกสลาเวีย
นั่งกระเช้าไฟฟ้ามีความสูง 400 เมตร เพื่อชมวิวทิวทัศน์สวยงามของเมืองดูบรอฟนิค ตื่นตาตื่นใจกับบรรยากาศริมชายฝั่งทะเลอะเดรียติค เห็นมีบ้านเรือนหลังคากระเบื้องสีแสด สลับตามแนวชายฝั่งเป็นระยะๆ เมืองดูบรอฟนิคได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในเมืองเก่าสวยสุดในยุโรป จนได้รับสมญานามว่า “ไข่มุกแห่งทะเลเอเดรียติก” อันมีทิวทัศน์เอกลักษณ์เฉพาะตัว บ้านเมืองหลังคาสีส้ม และความงดงามทะเล
สนามบินนานาชาติดูบรอฟนิค (Dubrovnik Airport) ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองดูบรอฟนิคประมาณ 15.5 กิโลเมตร สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1960 เป็นสนามบินที่มีผู้โดยสารหนาแน่นเป็นลำดับ 3 ของประเทศโครเอเชีย ซึ่งเป็นรองจากสนามบิน Zagreb Airport และ Split Airport มีรันเวย์ที่ยาวที่สุดในประเทศ และมีอาคารผู้โดยสารทั้งหมด 3 หลัง ในปัจจุบันอาคารผู้โดยสาร A ใช้สำหรับการลำเลียงกระเป๋าเดินทางเท่านั้น
สนามบินสุวรรณภูมิ หรือ ท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ ตั้งอยู่ในในเขตอำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ ห่างจากใจกลางเมืองกรุงเทพมหานคร 25 กิโลเมตร เปิดให้บริการเชิงพาณิชย์เต็มรูปแบบอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2549 ซึ่งรัฐบาลได้กำหนดให้ท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ เป็นท่าอากาศยานหลักของประเทศไทยแทนท่าอากาศยานดอนเมือง และสนามบินสุวรรณภูมิเคยให้ได้รับการจัดอันดับให้เป็น 1 ใน 10 ท่าอากาศยานที่มีคุณภาพการบริการดีที่สุดในโลกในปี พ.ศ. 2553