หากคุณสนใจสามารถติดต่อสอบถามโดยตรงได้ที่
02 105 6234 หรือ CustomerService@Mushroomtravel.com
สนามบินสุวรรณภูมิ หรือ ท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ ตั้งอยู่ในในเขตอำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ ห่างจากใจกลางเมืองกรุงเทพมหานคร 25 กิโลเมตร เปิดให้บริการเชิงพาณิชย์เต็มรูปแบบอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2549 ซึ่งรัฐบาลได้กำหนดให้ท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ เป็นท่าอากาศยานหลักของประเทศไทยแทนท่าอากาศยานดอนเมือง และสนามบินสุวรรณภูมิเคยให้ได้รับการจัดอันดับให้เป็น 1 ใน 10 ท่าอากาศยานที่มีคุณภาพการบริการดีที่สุดในโลกในปี พ.ศ. 2553
มุมไบ หรือที่เคยรู้จักกันในชื่อ “บอมเบย์ เมืองท่าเก่าแก่ของอินเดียตอนใต้ และเป็นเมืองเอกของ รัฐมหาราษฏร์ ( Maharashtra ) รัฐที่ร่ำรวยด้วยแหล่งโบราณสถานวัดถ้ำมรดกโลกอันวิจิตรตระการตา มุมไบยังเป็นศูนย์รวม ของศรัทธาความเชื่อและวัฒนธรรมหลากหลายมีฐานะเป็นฮอลีวู้ด (บอลลีวู้ด) ของอินเดียมานาน มีทะเลอาระเบียนโอบล้อมอยู่สามด้าน เป็นศูนย์กลางด้านการค้าพาณิชย์ของอินเดีย จึงดึงดูดให้คนมากมายมาที่เมืองแห่งนี้
วัดสิทธิวินัยยัค (Siddhivinayak Temple) ซึ่งเป็นวัดที่เก่าแก่ในศาสนาฮินดูสร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1801ภายในเป็นที่ประดิษฐานองค์ “พระพิฆเนศ” เทพเจ้าแห่งความสำเร็จ ซึ่งตั้งอยู่ในองค์มณฑปศักดิ์สิทธิ์ ที่ท่านจะสามารถสัมผัสได้ถึงพลังศรัทธา ทันทีที่ท่านก้าวเข้าสู่ ภายในวัดที่คลาคล่ำ ไปด้วยฝูงชนที่มาเคารพสักการะ หลังจากที่ท่านได้สักการะองค์ท่านแล้ว จะมีพิธีกรรมที่ประหลาดอีกอย่างที่จำเป็นต้องทำ คือให้ท่านได้กระซิบคำอธิษฐานต่อ รูปปั้นหนู 2ตน ที่ถือเป็นพระสหายขององค์ท่านด้วย
อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะช้าง หรือที่เรารู้จักกันว่า เกาะช้าง ตั้งอยู่ในเขตแหลมงอบ จังหวัดตราด เกาะช้างถือเป็นเกาะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 1 ในทะเลอ่าวไทย และเป็นเกาะที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ในประเทศรองลงมาจากเกาะภูเก็ต เกาะช้าง โดยลักษณะส่วนใหญ่ของเกาะช้างมีภูมิประเทศที่เป็นเขาสูง มีผาหินสลับซับซ้อน มียอดเขาที่สูงที่สุด คือ ยอดเขาสลักเพชร อีกทั้ง เกาะช้างยังมีสภาพป่าอันอุดมสมบูรณ์ และเนื่องจากพื้นที่ส่วนใหญ่ของเกาะเป็นป่าดิบเขาทำให้เกิดเป็นน้ำตกหลายสาย
เทวาลัยถ้ำช้าง (Elephanta Caves) ตั้งอยู่ในนครมุมไบ ประเทศอินเดีย เป็นแหล่งมรดกโลก เป็นวัดฮินดูที่ถูกแกะสลักเข้าไปในถ้ำ โดยสร้างขึ้นเพื่อบูชาพระศิวะเป็นหลัก ถ้ำเหล่านี้ตั้งอยู่บนเกาะเอลิแฟนตา หรือ เกาะการปุรี ภายในถ้ำเป็นรูปปั้นแกะสลักเข้าไปให้หิน มีเทพฮินดูและพุทธศาสนบุคคล แกะสลักในหินบะซอลต์ อาณานิคมโปรตุเกสเป็นผู้ตั้งชื่อให้หลังพบรูปปั้นช้างเป็นรูปปั้นแรกบนเกาะ ซึ่งทหารเหล่านี้ได้ตั้งฐานทัพบนเกาะ และทำลายถ้ำ ส่งผลให้วัดบนเกาะหมดสถานะเป็นศาสนสถาน และได้รับการบูรณะในปี ค.ศ.1909
สถานีรถไฟฉัตรปติศิวาชี (Chhatrapati Shivaji Terminus) ตั้งอยู่ในเมืองมุมไบ ประเทศอินเดีย เดิมว่า สถานีปลายทางวิคตอเรีย (Victoria Terminus) เป็นหนึ่งในสถานีรถไฟที่สวยงามที่สุดในโลก สร้างด้วยสถาปัตยกรรมผสมระหว่างวิคตอเรียแบบอังกฤษกับอินเดียแบบดั้งเดิม เป็นสิ่งปลูกสร้างอันเป็นมรดกตกทอดครั้งที่อังกฤษยังปกครองอินเดีย สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1888 แถมยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโกในปี ค.ศ. 2004 อีกด้วย บรรยากาศของสถานีรถไฟแห่งนี้คือที่ที่ผู้คนสัญจรผ่านไปมาอย่างคึกคัก
ประตูอินเดีย (India Gate) คือสิ่งก่อสร้างที่มีรูปแบบและลักษณะคล้ายคลึงประตูชัยของประเทศฝรั่งเศส ซึ่งถูกออกแบบให้เป็นประตูทรงโค้งที่มีความสูงถึง 42.35 เมตร โดยเซอร์เอ็ดเวิร์ด ลูตเยนส์ เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่เหล่าทหารอินเดียและอังกฤษจำนวนมากมายที่เสียชีวิตไปในเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ 1 และสงครามอัฟกัน แล้วเสร็จเมื่อปี ค.ศ.1931 โดยใช้วัสดุในการก่อสร้างเป็นหินทรายแดง ส่วนตรงกลางประตูนั้นมีกระถางหินทรายแดงขนาดใหญ่ซึ่งถูกจุดไฟให้ลุกโชนอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี พ.ศ. 2475 จนกระทั่งปัจจุบัน
เมืองปูเน่ (Pune) เดิมชื่อ ปูนา (Poona) เป็นอําเภอหนึ่งของรัฐมหาราชฏระ ที่มีเมืองหลวงชื่อมุมไบ (บอมเบย์ที่เราเคยท่องสมัยมัธยมว่าเป็นเมืองท่าของอินเดีย) ปูเนตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของมุมไบ ห่างออกไปประมาณ 150 ก.ม. และอยู่บนที่ราบสูงเดคแคน (Deccan) สภาพอากาศจึงเย็นสบาย เป็นเมืองศูนย์กลางทางการศึกษา มีมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงถึง 9 แห่ง และสถาบันการศึกษาอีกนับร้อยแห่ง จนได้รับการขนานนามว่าเป็น Oxford of The East
พระพิฆคเณศดักดูเชท์ กันปาตี (Dagdusheth Ganpati Temple) พระพิฆคเณศประจำเมืองปูเน่ มีการประดับประดาด้วยเครื่องประดับที่ทำจากทองคำและเพชร ทั่วทั้งองค์ จนได้รับการกล่าวถึงว่าเป็นพระพิฆเนศที่ร่ำรวยที่สุดในโลก ซึ่งในเทศกาลกันปาตีหรือเทศกาลคเณศจตุรถีของทุกปีจะมีการย้ายพระพิฆคเณศทรงเครื่องออกมาประดิษฐานยังศาลาที่สร้างขึ้นเป็นพิเศษ เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้จาริกแสวงบูญได้เข้ามาชมและสักการะองค์เทวรูปของพระพิฆคเณศเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตของผู้ที่ได้มาสักการะวัดแห่งนี้
อากาข่าน พาเลซ (Aga Khan Palace) ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ.1892 ถือเป็นสถาปัตยกรรมแบบผสมระหว่างสไตล์อินเดีย อังกฤษ และมุสลิม เป็นสถานที่ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ เป็นอนุสรณ์สถานในการเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องอิสรภาพ ในปี ค.ศ. 1942 ภายในจัดเป็นพิพิธภัณฑ์มีรูปถ่ายที่แสดงให้เห็นเหตุการณ์สำคัญ ๆ ในชีวิตของ มหาตมะ คานธี รวมถึงมีการจัดแสดงของใช้ส่วนตัว เช่น เสื้อผ้า หมวก รองเท้า ฯลฯ และพระราชวังนี้ยังใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียงเรื่อง “Gandhi” อีกด้วย
ออรังคบัต อยู่ห่างจากมุมไบ 370 กิโลเมตร
ถ้ำอะชันต้า กลุ่มถ้ำทางพุทธศาสนาที่ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก เมื่อปี พ.ศ. 2526 ตั้งอยู่ในเทือกเขาสหยาทรี ทางตะวันออกเฉียงเหนือของนครออรังกาบาด กลุ่มถ้ำอะชันต้าประกอบด้วยถ้ำน้อยใหญ่จำนวน 29 ถ้ำที่ถูกสร้างในช่วงก่อนคริสต์ศักราชราว 200 ปี โดยการขุดเจาะด้วยฝีมือมนุษย์ มีการสลักหินเป็นเสาประดับลวดลายอันงดงาม ตามผนังถ้ำมีภาพจิตรกรรมฝาผนังอายุกว่า 1,200 ปีที่ใช้เทคนิคการเขียนภาพามมิติอันน่าอัศจรรย์ ถ้ำทุกถ้ำถูกเชื่อมถึงกันโดยระเบียงทางเดินหินด้านหน้า
ป้อมปราการโบราณรอบภูเขาดัลคีรี ซึ่งถือเป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์การเมืองการทหาร ตั้งอยู่ในเมืองเดาลาตาบัด อยู่ห่างจากออรังกาบาดประมาณ 13 กม. ในอดีตเคยเป็นเมืองหลวงของอินเดียอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง ป้อมเดาลาตาบัดตั้งอยู่บนภูเขาสูง 700 เมตรที่มีความชันค่อนข้างมาก ภายในมีกำแพง ลดหลั่นกันตามความสูง และมีสิ่งปลูกสร้างที่เป็นมรดกทางประวัติศาสตร์อื่นๆอีกมากมาย เช่น หอคอยจันทรา พระราชวังจีน สุเหร่าจามีที่ภายในประดับด้วยเสาจำนวน 106 ต้น และหอคอยที่เก็บปืนใหญ่ คิล่า ชิกาน
กลุ่มถ้ำเอลโลร่า หรือ ถ้ำเวรุล เลนี ในภาษาท้องถิ่น เป็นอีกหนึ่งกลุ่มถ้ำที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโกในปี 2526 ตั้งอยู่ในเทือกเขาจรนันทรี ถูกสร้างขึ้นในช่วงระหว่างพุทธศตวรรษที่ 12 ถึง 15 โดยการเจาะเข้าไปในภูเขา เช่นเดียวกับกลุ่มถ้ำอชันต้า ประกอบไปด้วยถ้ำทั้งหมด 34 ถ้ำ ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มตามศาสนา คือ ศาสนาพุทธ ศาสนาฮินดู และกลุ่มถ้ำเชน ที่เรียงตัวจากเหนือไปใต้เป็นระยะทางรวมกันประมาณ 2 กิโลเมตร ภายในมีภาพแกะสลักของเหล่าทวยเทพที่มีความวิจิตรงดงามหาชมได้ยาก
ทัชมาฮาลแห่งมณฑลภาคใต้ สถานที่ฝังพระศพของจักรพรรดินี ราบิยะ อุด-ดูรานี ถูกสร้างขึ้นโดยเจ้าชายอะซาม ชาห์ พระราชโอรสของจักรพรรดินีและจักรพรรดิออรังเซ็บสุสานแห่งนี้ถูกสร้างเลียนแบบทัช มาฮาล ตัวอาคารสุสานมีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมทรงสูง หลังคาจะเป็นโดมรูปหัวหอมที่ทำจากหินอ่อน ผนังด้านในจะสลักเป็นรูปโครงตาข่ายและตกแต่งด้วยประติมากรรมแผงลวดลายดอกไม้ ตัวอาคารถูกล้อมรอบด้วยสวน 4 สวน ด้านหน้ามีทางเดินที่ขนาบด้วยแผงกั้นหินอ่อน และต้นไซปรัส ทำให้ที่แห่งนี้มีมนต์เสน่ห์อันน่าหลงไหล