Mushroom Travel LINE
เราช่วยคุณได้
@mushroomtour
จันทร์ - เสาร์
9:00-22:00
อาทิตย์
9:00-18:00
Call Mushroom Travel
Call Center
02 105 6234
จอง 6 คนขึ้นไป
จอง 6 คนขึ้นไป
02 105 6244
Loading...

รวมพิกัด 10 อุทยานญี่ปุ่น ธรรมชาติสวยน่าเที่ยว พร้อมช่วงเวลาแนะนำ!

ไปเที่ยว ญี่ปุ่น ไม่ว่าจะกี่ครั้งก็ไม่เคยเบื่อ เพราะเป็นประเทศที่มีสถานที่ท่องเที่ยวครบทุกไลฟ์สไตล์ โดยเฉพาะ ที่เที่ยวธรรมชาติ ญี่ปุ่น สวยจนต้องยกนิ้วให้ เต็มไปด้วยความอุดมสมบูรณ์ มีทั้งที่ราบลุ่มเขียวชอุ่ม วิวภูเขา ทะเลสาบ น้ำตก หรือทะเลทราย ก็สวยจึ้งเกินใคร ความสวยงามแตกต่างกันไปตลอดทั้ง 4 ฤดู ที่สำคัญยังมีกิจกรรมให้ทำอีกเพียบ เช่น เดินป่า หรือพายเรือ บอกได้เลยว่าสายธรรมชาติต้องหลงรัก ฉะนั้นตามพี่เห็ดไปเที่ยว 10 อุทยานญี่ปุ่น ธรรมชาติสวยเกินร้อย ไปสูดออกซิเจนให้ฉ่ำปอด พร้อมช่วงเวลาน่าเที่ยวแนะนำ ชมวิวสวยๆ ถ่ายรูปอวดลงโซเชียลแบบรัวๆ กันได้เลย

1. อุทยานแห่งชาตินิกโก – จังหวัดโทจิกิ

อุทยานญี่ปุ่น
Credit : visitnikko.jp

เปิดทริปด้วยการไปสำรวจ อุทยานญี่ปุ่น กันที่แรก อุทยานแห่งชาตินิกโก (Nikko National Park) ที่มีบรรยากาศสวยงามโดดเด่น โดยมีพื้นที่กว้างขวางครอบคลุมพื้นที่ 3 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดโทจิกิ (Tochigi), กุมมะ (Gunma), โทยามะ (Toyama) และ นีงาตะ (Niigata) แน่นอนว่ามาเยือนที่นี่แล้ว ต้องไม่พลาดแวะที่ น้ำตกเคงอน (Kegon Falls) น้ำเย็นใสสะอาดริม ทะเลสาบชูเซ็นจิ (Lake Chuzenji) หรือแวะไปล่องเรือชิลๆ ริมทะเลสาบก็ดี จากนั้นตามไปขอพร ทำความเคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์กันที่ ศาลเจ้าโทโชกุ (Toshogu Shrine) ที่ได้รับการขึ้นทะบียนให้เป็นมรดกโลก (UNESCO World Heritage Site) เมื่อปี ค.ศ.1999 พร้อมชมประติมากรรมงานแกะสลักไม้อันวิจิตรบรรจง ปิดท้ายด้วยการไปเติมพลัง เติมความสดชื่น แช่ออนเซ็นกันที่ โอคุนิกโก (Oku-Nikko) แหล่งออนเซ็นที่มีทิวทัศน์อันตระการตา ซึ่งตั้งอยู่ด้านหลังของอุทยาน

ช่วงเวลาแนะนำ : ถ้าใครอยากสัมผัสประสบการณ์หลากหลายรูปแบบ ก็ต้องไปทั้ง 4 ฤดูกาล เพราะแต่ละช่วงจะให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันไป เช่น ช่วงฤดูใบไม้ผลิ จะเห็นดอกไม้นานาพันธุ์เบ่งบานสวยงาม ดอกซากุระบานสะพรั่ง หากไปช่วงฤดูร้อน ก็มีน้ำตกและทะเลสาบที่ช่วยเพิ่มความสดชื่นได้เป็นอย่างดี แต่ช่วงฤดูใบไม้ร่วงบรรยากาศจะคึกคักมากที่สุด เพราะนักท่องเที่ยวต่างแวะมาชมความงามของใบไม้เปลี่ยนสีจากสีเขียวชอุ่มเป็นสีส้ม หรือสีแดง ถ้าหากมาช่วงฤดูหนาวก็จะได้เล่นสกีหิมะ หรือสโนว์บอร์ด
การเดินทาง : นั่งรถไฟมาลงที่สถานีโทบุนิกโก้ (Tobu-Nikko) จากนั้นต่อรถบัส
แผนที่ : https://maps.app.goo.gl/1En6kTTxnELUA7Pu9


2. อุทยานแห่งชาติชูบุ ซังกากุ – จังหวัดนากาโน่

อุทยานญี่ปุ่น
Credit :  japan.travel

ถูกใจสายเดินป่า ชอบภูเขา หรือทำกิจกรรมกลางแจ้งแบบสุดๆ เพราะ อุทยานแห่งชาติชูบุ ซังกากุ (Chubu- Sangaku National Park) ขึ้นชื่อเรื่องการเดินป่ามาก ธรรมชาติมีความอุดมสมบูรณ์ได้อีก ที่นี่มีภูเขาสูงถึง 3,000 เมตร มีหลายเลเวลให้เพื่อนๆ ได้เลือกเดินตามความเชี่ยวชาญ แต่จุดไฮไลต์ที่ทุกต้องมาให้ได้สักครั้งคือ คามิโคจิ (Kamikochi) ดินแดนแห่งสายน้ำท่ามกลางหุบเขา ตั้งอยู่ในจังหวัดนากาโน่ (Nagano) เป็นที่ราบสูงทอดยาวไปตามแม่น้ำอาซุสะ (Azusa River) ซึ่งมีระยะทางยาว 15 กิโลเมตร ล้อมรอบด้วยภูเขาสูงมากมายและป่าไม้เขียวขจี ถือเป็นจุดชมวิวเจแปนแอลป์ที่สวยงามที่สุด จนถูกขนานนามให้เป็น สวิตเซอร์แลนด์ญี่ปุ่น เลยทีเดียว หลักๆ แล้วต้องแวะ สะพานคัปปะ (Kappa Bridge) สะพานแขวนที่อยู่เหนือแม่น้ำอาซุสะ แม่น้ำใสๆ เย็นๆ ไหลผ่าน จากนั้นตามไปชมความสวยงามของภูเขาที่สะท้อนผืนน้ำของ บึงไทโช (Taisho Pond) ระหว่างทางเราจะเห็นความงดงามของป่าเขาและธารน้ำเย็นอันแสนสดชื่นเป็นระยะ บรรยากาศสงบเงียบดีมากๆ

ช่วงเวลาแนะนำ : คามิโคจิ เปิดเส้นทางให้ท่องเที่ยวระหว่างช่วง กลางเดือนเมษายน – กลางเดือนพฤศจิกายนเท่านั้น นักท่องเที่ยวจะนิยมมาเดินป่ากันในช่วงฤดูร้อน และแวะมาชมใบไม้เปลี่ยนสีกันในช่วงฤดูใบไม้ร่วง
การเดินทาง : ขึ้นรถไฟด่วนพิเศษอาซึสะ (Azusa) ตรงสถานีชินจูกุ เพื่อไปลงสถานีมัตสึโมโตะ (Matsumoto Station) ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง 40 นาที จากนั้นต่อรถบัสอีกประมาณ 1 ชั่วโมง 50 นาที
แผนที่ : https://maps.app.goo.gl/efJe6ESRNGHdputa7


3. อุทยานแห่งชาติฟูจิ ฮาโกเน่ อิซุ – จังหวัดคานากาวะ

อุทยานญี่ปุ่น
Credit : japan.travel

นาทีนี้ไม่มีใครไม่รู้จัก ที่เที่ยวธรรมชาติ ญี่ปุ่น ที่ชื่อ “ภูเขาไฟฟูจิ” หรือรู้จักกันดีในชื่อ “ฟูจิซัง” ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่ของ อุทยานแห่งชาติฟูจิ ฮาโกเน่ อิซุ (Fuji Hakone Izu National Park) ครอบคลุมบริเวณจังหวัดคานากาวะ (Kanagawa), ชิซุโอกะ (Shizuoka), โตเกียว (Tokyo) และ ยามานาชิ (Yamanashi) เป็นอุทยานแห่งชาติชื่อดังที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกรู้จักกันดี แถมยังคึกคักกันสุดๆ เพราะมีกิจกรรมหลากหลายให้เลือกทำ ไม่ว่าเป็น ปีนภูเขาไฟฟูจิ ไปพักผ่อนแช่บ่อออนเซ็นที่ หุบเขาโอวาคุดานิ (Owakudani) หรือเดินเล่นชมความงามของ ทะเลสาบคาวากุจิโกะ (Lake Kawaguchiko) จัดเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่คนรักธรรมชาติพลาดไม่ได้เลย

ช่วงเวลาแนะนำ : ช่วงเดือนพฤศจิกายน ไปจนถึงเดือนเมษายน เป็นช่วงที่อากาศเย็นสบาย มองเห็นหิมะปกคลุมที่ยอดภูเขาไฟฟูจิได้
การเดินทาง : จากรถไฟสายโอะดะคิว (Odakyo) ไปลงที่สถานีโอดาวาระ (Odawara Station)
แผนที่ : https://maps.app.goo.gl/KeERsMwfh56fc3xZ9


4. อุทยานแห่งชาติอะคัง-มะชู – จังหวัดฮอกไกโด

อุทยานญี่ปุ่น
Credit : japan.travel

ไปต่อกันที่จังหวัดฮอกไกโด (Hokkaido) เพื่อมุ่งหน้าไปยัง อุทยานแห่งชาติอะคัง-มะชู (Akan-Mashu National Park) ถิ่นที่อยู่อาศัยของชาวพื้นเมืองไอนุ อุดมไปด้วยธรรมชาติ อย่างปล่องภูเขาไฟ และป่าไม้อันเขียวขจี นอกจากชาวพื้นเมืองจะอาศัยอยู่แล้ว ที่นี่ก็เป็นถิ่นที่อยู่ของสัตว์ป่านานาชนิดเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น สุนัขจิ้งจอกแดง, นกหัวขวานดำ, อินทรีหางขาว หรือแม้แต่นกเค้าใหญ่บลาคิสตัน (Blakiston’s Fish Owl) สายพันธุ์หายาก ไม่เพียงเท่านั้นที่นี่ยังขึ้นชื่อในเรื่องความงดงามของทะเลสาบ จนได้รับการขนานนามว่าเป็นหนึ่งในทะเลสาบที่มีน้ำใสที่สุดในโลก โดยมีทั้งหมด 3 แห่งด้วยกัน ได้แก่ อะคัง (Akan), มาชู (Mashu) และคุชชะโระ (Kussharo) แถมยังมีจุดชมวิวที่มองเห็นได้ทั่วทิศ 360 องศาบน สะพานทาคิมิ (Takimi Bridge) เหมาะสำหรับการดูดาวในช่วงฤดูร้อนมากๆ และยังมีกิจกรรมกลางแจ้งให้ทำมากมายตลอดทั้งปีอีกด้วย

ช่วงเวลาแนะนำ : ถ้าใครอยากตั้งแคมป์ ปีนเขา เดินป่าขึ้นไปยังแอ่งภูเขาไฟ นั่งตกปลา หรือแช่ออนเซ็น แนะนำให้มาในช่วงฤดูร้อน ส่วนฤดูหนาวจะเน้นการเล่นสกีและชมเทศกาลน้ำแข็ง
การเดินทาง : นั่งรถไฟลงที่สถานี JR Kushiro และต่อรถประจำทางสาธารณะประมาณ 2 ชั่วโมง นอกจากนี้ยังมีรถรับส่งจากสถานี JR ใหญ่ๆ และจากสนามบิน Kushiro อีกด้วย
แผนที่ : https://maps.app.goo.gl/QNojZWeFUzBTMp967


5. อุทยานแห่งชาติโทวาดะ-ฮาจิมันไต – จังหวัดอาโอโมริ

Credit : magicflute002 / canva.com

อีกหนึ่ง อุทยานญี่ปุ่น ที่ไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็เจอแต่ความอุมดมสมบูรณ์ มีทั้งภูเขา ทะเลสาบ แม่น้ำลำธาร ดอกไม้ป่าและสัตว์ป่านานาชนิด ซึ่ง อุทยานแห่งชาติโทวาดะ-ฮาจิมันไต (Towada-Hachimantai National Park) ตั้งอยู่ในภูมิภาคโทโฮคุ (Tohoku) ทางตอนเหนือของญี่ปุ่น ครอบคลุมพื้นที่จังหวัดอากิตะ (Akita), อาโอโมริ (Aomori) และอิวาเตะ (Iwate) พลาดไม่ได้ที่จะต้องไป ภูเขาฮักโกดะ (Mount Hakkoda) ยอดภูเขาไฟที่เป็นหนึ่งใน 100 ภูเขามีชื่อเสียงที่สุดของญี่ปุ่น และตามไปสัมผัสกับความลักลับของ ทะเลสาบโทวาดะ (Lake Towada) ทะเลสาบภูเขาไฟที่เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟในอดีต ทำให้มีความงดงามตามธรรมชาติอย่างไม่น่าเชื่อ ส่วนมากแล้วนักท่องเที่ยวนิยมมาเดินป่า ปีนเขา ตั้งแคมป์ ชมใบไม้เปลี่ยนสี ล่องเรือ แช่ออนเซ็น รวมไปถึงการเล่นสกี บอกได้เลยว่ากิจกรรมอะไรที่เกี่ยวกับธรรมชาติที่นี่มีครบ!

ช่วงเวลาแนะนำ : ช่วงที่สวยที่สุดคือช่วงฤดูใบไม้ร่วง โดยเฉพาะเดือนตุลาคม เราจะเห็นเหล่าผืนป่ากลายเป็นสีเหลืองทองอร่ามค่อยๆ ร่วงโรย ส่วนช่วงฤดูหนาวน้ำตกจะจับตัวเป็นก้อนน้ำแข็ง ตามต้นไม้ถูกกปกคลุมไปด้วยหิมะ
การเดินทาง : นั่งรถไฟสายโทโฮคุ ชินคันเชน (Tohoku Shinkansen) มาลงที่สถานีชิจิโนะเฮะ-โทวะดะ (Shichinohe-Towada Station) จากนั้นต่อด้วยรถบัส หรือถ้าใครมาจากใครมาจากโตเกียว จะนั่งรถบัสตรงไปยังโทวะดะเลยก็ได้
แผนที่ : https://maps.app.goo.gl/3f2NH95ZWNa3outUA


6. อุทยานแห่งชาติไดเซน-โอกิ – จังหวัดทตโตริ

Credit : japan.travel

ร่องรอยของเทวตำนานญี่ปุ่น ศาลเจ้าและสถานที่ทางประวัติศาสตร์ ยังคงหลงเหลืออยู่ที่นี่ อุทยานแห่งชาติไดเซน-โอกิ (Daisen-Oki National Park) ตั้งอยู่ในภูมิภาคชูโกคุ (Chugoku) ครอบคลุมพื้นที่จังหวัดทตโตริ (Tottori), ชิมาเนะ (Shimane) และโอคายามะ (Okayama) โดยสถานที่ยอดฮิตที่นักท่องเที่ยวต้องแวะคือ ภูเขาไดเซ็น (Mount Daisen) ภูเขาที่สูงที่สุดในภูมิภาค และเป็นสัญลักษณ์ของจังหวัดทตโตริ ซึ่งในอดีตเคยได้รับการขนานนามว่าเป็น “ภูเขาแห่งพระเจ้า” เพราะเป็นที่ปฏิบัติธรรมของเหล่านักบวชนั่นเอง ผู้คนมักนิยมไปขอพรกันที่ ศาลเจ้าอิซุโมะไทฉะ (Izumo Taisha Shrine) สถานที่อันโด่งดังเกี่ยวกับเทวตำนานของญี่ปุ่น เหมาะสำหรับใครที่อยากสัมผัสธรรมชาติแบบใกล้ชิด พร้อมกับวัฒนธรรมและความเชื่อแบบญี่ปุ่นก็ต้องมาที่นี่เลย

ช่วงเวลาแนะนำ : สามารถเที่ยวได้ทุกฤดู นอกจากการเดินป่าในฤดูร้อนแล้ว ที่นี่ยังขึ้นชื่อว่าเป็นจุดชมดาวที่สวยที่สุดอีกหนึ่งแห่งในช่วงเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ แต่ถ้ามาในช่วงฤดูหนาวก็จะได้เล่นสกี และสโนว์บอดร์อย่างเต็มอิ่มจุใจ หรือจะมาในช่วงฤดูใบไม้ร่วงก็จะได้พบกับใบไม้เปลี่ยนสี
การเดินทาง : หากไปภูเขาไดเซ็น ต้องขึ้นรถบัสจากสถานีโยนาโก (Yonago Station) ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง หรือจากสถานีไดเซนกูจิ (Daisen-guchi Station) ลงที่วัดไดเซนจิ (Daisenji Temple) ใช้เวลาประมาณ 30 นาที
แผนที่ : https://maps.app.goo.gl/ktCwpLDt6hop9zji7


7. อุทยานแห่งชาติอาโซะ-คูจู – จังหวัดคุมาโมโตะ

Credit :  japan.travel

ตามไปชมความอลังการของภูเขาไฟที่รอการปะทุกันที่ อุทยานแห่งชาติอาโซะ-คูจู (Aso-Kuju National Park) เป็นที่ตั้งของเทือกเขาคูจู (Kuju Moutain) และ ภูเขาอาโซะ (Mount Aso) ซึ่งเป็นหนึ่งในภูเขาไฟที่ยังคงคุกรุ่นอยู่ที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยวสามารถตามไปดูไฟที่ประทุอยู่ภายในปล่องได้ด้วย ครอบคลุมพื้นที่จังหวัดคุมาโมโตะ (Kumamoto) และโออิตะ (Oita) โดยอุทยานแห่งนี้โด่งดังเรื่องภูมิทัศน์สุดอลังการ แถมยังเป็น อุทยานญี่ปุ่น ที่เก่าแก่ที่สุดด้วยเช่นกัน นอกจากจะมาชมปล่องภูเขาไฟกันแล้ว อย่าลืมแวะไปแช่ออนเซ็นกันด้วยนะ ส่วนกิจกรรมที่นักท่องเที่ยวนิยมทำกันก็จะมีเส้นทางการเดินป่า ปีนเขาครอบคลุมหลายเส้นทาง หรือใครอยากจะขับรถชมวิวเที่ยวรอบภูเขาไฟก็ได้บรรยากาศไปอีกแบบ รับรองได้ว่าถูกใจคนรักธรรมชาติอย่างแน่นอน

ช่วงเวลาแนะนำ : สามารถเที่ยวได้ทุกฤดู แต่ช่วงฤดูใบไม้ร่วงตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคม จนถึงต้นเดือนพฤศจิกายน เราจะเห็นความงดงามของใบไม้เปลี่ยนสีไล่เรียงไปตามเทือกเขา นับเป็นหนึ่งในจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น และถ้ามาในช่วงฤดูร้อนเดือนพฤษภาคม ก็จะพบกับดอกไม้ป่าหายากหลากหลายชนิด
การเดินทาง : จากเมืองคุมาโมโตะ หรือเบบปุ (Beppu) จะมีรถบัสของ Kyushu Odan มาที่ภูเขาคูจู โดยใช้เวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมง แต่ถ้ามาจากเมืองฟุกุโอกะ (Fukuoka) ให้นั่งรถบไฟ JR ไปลงที่สถานี Bungo Nakamura Station สาย Kyudai Line ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง แล้วต่อรถบัสไปที่ Kuju-tozanguchi ใช้เวลาอีก 1 ชั่วโมง
แผนที่ : https://maps.app.goo.gl/9Mjg8bFxon1RHs7s5


8. อุทยานแห่งชาติเกาะเคะระมะ – จังหวัดโอกินาว่า

Credit : japan.travel

ออกจากป่าเขา แล้วไปนอนอาบแดด ดำน้ำกันที่ อุทยานแห่งชาติเกาะเคะระมะ (Keramashoto National Park) ในจังหวัดโอกินาว่า (Okinawa) พื้นที่หมู่เกาะที่มีมากกว่า 20 เกาะ มีทะเลสวยงามเรียกว่า เคะระมะสีฟ้า (Kerama Blue) น้ำทะเลใสสะอาด ชายหาดเม็ดทรายสีขาวนวล และปะการังสวยสะกด ด้วยสภาพแวดล้อมและภูมิทัศน์ทางธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ ทำให้ที่นี่มีชื่อเสียงมากในหมู่นักดำน้ำ ซึ่งมีจุดดำน้ำมากกว่า 100 จุด จนถูกเรียกกันว่าเป็น “ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งการดำน้ำ” เลยทีเดียว ถ้าโชคดีอาจได้เจอปลาวาฬด้วยนะ ส่วนกิจกรรมบอกได้เลยว่าแน่นๆ มีทั้งว่ายน้ำ ดำน้ำดูปะการัง พายคายัค หรือเล่นเซิร์ฟบอร์ด สนุกกันอย่างเพลิดเพลิน

ช่วงเวลาแนะนำ : ตั้งแต่เดือนเมษายนถึงสิ้นเดือนตุลาคม บรรยากาศจะครึกครื้นเป็นพิเศษ นักท่องเที่ยวต่างมาเล่นน้ำ ทำกิจกรรมทางทะเลกันเยอะ ทั้งยังเป็นช่วงที่ร้านค้า ร้านอาหาร ร้านเช่าอุปกรณ์ต่างๆ มาเปิดให้บริการบริเวณชายหาด สามารถใช้เวลาริมชายหาดได้อย่างเต็มที่
การเดินทาง : นั่งรถไฟลงสถานีมิเอะบาชิ (Miebashi Station) และไปขึ้นเรือที่ท่าเรือโทะมะริ (Tomari Port) ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง
แผนที่ : https://maps.app.goo.gl/8y3oaKrH9NmhMkpy6


9. อุทยานแห่งชาติเซโตะไนไค – จังหวัดเอฮิเมะ

Credit : japan-guide.com

มุ่งหน้าต่อไปยัง อุทยานญี่ปุ่น แห่งแรกและยังเป็นแห่งที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นอีกด้วย ครอบคลุมพื้นที่ถึง 11 จังหวัด กับ อุทยานแห่งชาติเซโตะไนไค (Seto Inland Sea National Park) อุทยานที่มีอาณาเขตกว้างมหาศาลถึง 9,000 ตารางกิโลเมตรบนบกและในทะเล อยู่ในวงล้อมของภูมิภาคฮอนชู (Honshu), ชิโกะคุ (Shikoku) จนถึงคิวชู (Kyushu) ประกอบไปด้วยเกาะประมาณ 3,000 เกาะ เป็นเกาะที่เรียกว่าหมู่เกาะเซโตะอุจิ รวมทั้งเกาะอิตสึกุชิมะอันโด่งดังด้วย  แน่นอนว่าเพื่อนๆ จะตื่นตาเพลิดเพลินใจไปกับทิวทัศน์ที่สวยงามของท้องทะเล ชายหาด ทุ่งหญ้า และภูเขา จุดไฮไลต์คือต้องไปสำรวจ ได้แก่ เกาะนาโอะชิมะ (Naoshima) และ เกาะเทชิมะ (Teshima) จากนั้นไปดู กระแสน้ำวนนารูโตะ (Naruto Strait) ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจากคลื่นที่มาปะทะกันในช่องแคบนารู พร้อมสนุกไปกับกิจกรรมต่างๆ มากมาย ตั้งแต่เดินป่า ปั่นจักรยาน ไปจนถึงพายเรือคายัค เรียกได้ว่าให้เล่นสนุกอยู่ต่ออีกวันก็ยังได้

ช่วงเวลาแนะนำ : มีความเงียบสงบงดงาม อากาศสบายๆ สามารถเที่ยวได้ตลอดทั้งปี
การเดินทาง : นั่งรถไฟไปลงสถานีมิฮะระ (Mihara station)
แผนที่ : https://maps.app.goo.gl/cQk9oK6NrktNt6L77


10. อุทยานซันอินไคกัง – จังหวัดทตโตริ

Credit : tottori-tour.jp

ปิดท้ายทริปด้วยการไปเที่ยวอุทยานที่สวยแปลกไม่เหมือนใครกันที่ อุทยานซันอินไคกัง (Sanin Kaigan National Park) ครอบคลุมพื้นที่จังหวัดทตโตริ (Tottori), เฮียวโงะ (Hyogo) และเกียวโต (Kyoto) หนึ่งในอุทยานที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น และมี ทะเลทรายทตโตริ (Tottori Sand Dunes) ซึ่งเป็นเนินทรายขนาดใหญ่อยู่ในพื้นที่อุทยานแห่งนี้ด้วยเช่นกัน เกิดจากการสะสมของตะกอนที่พัดผ่านมาพร้อมกับกระแสน้ำทะเล ทับถมกันเป็นเวลา 100,000 ปี ทำให้แต่ละจุดมีระดับความสูงต่ำไม่เท่ากัน นับเป็นเสน่ห์ให้นักท่องเที่ยวหลายคนต่างหลงใหล ไฮไลต์ที่ต้องลองคือ การขี่อูฐขึ้นไปบนทราย เล่นแซนบอร์ด หรือเล่นร่มร่อนพาราไกลดิ้ง (Paragliding) เพื่อชมวิวสวยๆ ของเนินทรายจากมุมสูง นอกจากนี้ก็ยังมี พิพิธภัณฑ์ศิลปะทราย (The Sand Museum) ให้เราได้ชื่นชมผลงานศิลปะที่สร้างจากทรายอย่างสร้างสรรค์ ใครจะไปเชื่อว่าอยู่ญี่ปุ่นก็วาร์ปไปทะเลทรายได้

ช่วงเวลาแนะนำ : สามารถเที่ยวได้ทุกฤดู
การเดินทาง : นั่งรถบัส Kirin Jishi Loop มาลงป้าย Tottori Sakyu Kaikan ใช้เวลาประมาณ 20 นาที หรือนั่งรถบัสประจำทางปกติสาย Sankyu มาลงป้าย Tottori Sakyu Kaikan ใช้เวลาประมาณ 25 นาที
แผนที่ : https://maps.app.goo.gl/GWP62WTNWqHBY3Uc6

พอจะเห็นแล้วใช่มั้ยคะว่า ที่เที่ยวธรรมชาติ ญี่ปุ่น นั้นสวยงามสมคำร่ำลือจริงๆ หากใครอยากเปลี่ยนบรรยากาศออกมาเที่ยวนอกเมืองบ้าง หรืออยากดื่มด่ำกับธรรมชาติแบบเต็มปอด พร้อมหลีกหนีความวุ่นวาย พี่เห็ดขอแนะนำให้ลองมาเที่ยว อุทยานญี่ปุ่น ดู รับรองว่าได้เป็นการเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ ใกล้ชิดป่าเขาลำเนาไพร ชาร์จพลังได้เต็มเปี่ยมแน่นอน


ชอบ บทความ มัชรูมทราเวล ทำไงดี…?
1. กดแชร์ต่อ ให้เพื่อนอ่านบ้าง
2. คลิก Like และ ติดตามเราได้ที่ Facebook www.facebook.com/mushroomtravel/

—————

Mushroom Travel มีโปรแกรม ทัวร์ญี่ปุ่น ให้เลือกมากที่สุด
โทร. 02-105-6234 (30 คู่สาย)
[email protected]
Line id : @mushroomtravel

สินค้าที่เกี่ยวข้อง