Mushroom Travel LINE
เราช่วยคุณได้
@mushroomtour
จันทร์ - เสาร์
9:00-22:00
อาทิตย์
9:00-18:00
Call Mushroom Travel
Call Center
02 105 6234
จอง 6 คนขึ้นไป
จอง 6 คนขึ้นไป
02 105 6244
Loading...

ใบไม้เปลี่ยนสี @ โดโลไมท์ อิตาลี

โพสเมื่อ

ครั้งนี้มัชรูมทราเวลได้รับเกียรติจาก Guest สุดพิเศษ คุณ InIn all the way พี่อินเล่าเรื่อง ที่จะมาบอกเล่าประสบการณ์ เที่ยวอิตาลี ในช่วงใบไม้เปลี่ยนสี โดยจะพาไปชมความสวยงามของธรรมชาติกันที่ โดโลไมท์ อิตาลี ทั้งเทือกเขาที่สวยงาม โอบล้อมด้วยใบไม้สีเหลืองส้มของป่ารอบๆ จะสวยงามแค่ไหนต้องติดตาม


ใบไม้เปลี่ยนสี @ โดโลไมท์ อิตาลี

ช่วง ใบไม้เปลี่ยนสี หรือช่วงรอยต่อระหว่างฤดูร้อนและฤดูหนาว ที่ฝรั่งเรียกว่าฤดูใบไม้ร่วงนี้เป็นช่วงที่น่าท่องเที่ยวมากที่สุดช่วงหนึ่งของปี โดยทั่วไปจะอยู่ประมาณปลายเดือนตุลาคมถึงต้นเดือนพฤศจิกายน ผมเลยเอาทริปท่องเที่ยวถ่ายรูปใบไม้เปลี่ยนสีที่ เทือกเขาโดโลไมท์ส ทางตอนเหนือของประเทศอิตาลีมาฝากกันครับ

(ปล. รีวิวนี้รูปเยอะหน่อยนะครับ เพราะมีหลังไมค์มาบอกว่า อย่าพูดมาก ลงรูปเยอะๆ ที่นี่เขาชอบดูรูปกัน 555)

เทือกเขาแอลป์ในทวีปยุโรป ทอดตัวเป็นแนวนอน พาดผ่านประเทศฝรั่งเศส โมนาโค สวิตเซอร์แลนด์ ลิคเทนสไตน์ เยอรมัน อิตาลี ออสเตรีย และสโลเวเนีย ลักษณะคล้ายๆ คนหัวโตพุงโรก้นปอดนอนคว่ำ โดยส่วนพุงโรจะอยู่ทางตอนเหนือของประเทศอิตาลี ติดพรมแดนประเทศสวิตเซอร์แลนด์และออสเตรีย ซึ่งเราเรียกส่วนพุงโรนี้ว่า โดโลไมท์ อิตาลี หรือ เทือกเขาโดโลไมท์ส (The Dolomites)

เราจะเข้าสู่ประเทศอิตาลีทางกรุงมิลาน แว๊บไปกินไอติมริมทะเลสาบโคโมสักแป๊ปนึง แล้วต่อไปตั้งหลักที่เมืองเบอร์กาโมก่อนที่จะลุยเข้าใจกลาง โดโลไมท์ อิตาลี เป้าหมายคือเมืองเล็กๆ ที่ชื่อว่า ออร์ทิเซ่ (Ortisei) ส่วนจะไปทางไหนนั้น ก็ได้แต่เพียงกำหนดไว้คร่าวๆ แล้วแต่เส้นทางเชื่อมระหว่างภูเขาหรือที่เรียกว่า pass ไหนจะเปิด

ทำไมต้องไป โดโลไมท์ อิตาลี ก็เพราะมันสวยมากกกกน่ะสิครับ จากการสวมวิญญาณนอสตราดามุส ในแต่ละปีโดโลไมท์จะสวยที่สุดก็ช่วงวันที่ 26 ตุลาคมถึง 3 พฤศจิกายน ใบไม้จะเปลี่ยนสีทั้งภูเขา ..

สวรรค์บนดินมีจริง

เราออกจากเบอร์กาโมไปสู่จุดหมายที่กำหนดไว้คือ เมืองโซลดาหรือซุลดา ระหว่างทางเราต้องผ่าน 2 pass คือ Mortirolo สูง 1,852 เมตร และ pass หลักคือ Stelvio สูง 2,758 เมตร ซึ่งสูงเป็นที่สองของเทือกเขาแอลป์ pass อันหลังนี่มีโอกาสไม่มากนักที่จะเปิดให้เราผ่าน เพราะเมื่อคืนหิมะตกหนัก

ระหว่างทางขึ้นเขา เราก็เริ่มเห็น ใบไม้เปลี่ยนสี มากขึ้นเรื่อยๆ เขาบางลูกก็เป็นต้นสน มีต้นสีเขียวอ่อน สีเหลือง แทรกกับต้นสีเขียวธรรมชาติ สวยงามมากเหมือนดูภาพวาดแนวอิมเพรสชั่นนิสต์

ส่วนที่เป็นต้นเมเปิ้ลก็จะมีทั้งสีเหลือง สีส้ม สีแดง สลับกัน เราไปเจอต้นนึงสีเหลืองอร่าม รุมถ่ายรูปกันฟินมาก พอเราถ่ายเสร็จใบร่วงพรู สงสัยเจอมลพิษจากพวกเราเข้าไป

เราข้าม Mortirolo ได้อย่างไม่มีปัญหา และ mission ก็ complete ด้วยการข้าม Stelvio ได้อย่างตลอดรอดฝั่ง ผ่าน dangerous road ถนนพับผ้าร้อยทบขาขึ้น สองร้อยทบขาลง บ๊วยแก้อ้วกหมดไปหนึ่งกล่อง เสียดายไส้กรอกอร่อยโคตรบนยอดเขาจะหลุดออกมา 55

เราแวะกินข้าวกลางวันระหว่าง pass ทั้งสองที่เมือง Bormio และเข้าที่พักที่เมือง Stelvio ฟินเว่อร์

อีกหนึ่งสวรรค์ที่มีอยู่จริงบนโลกใบนี้

จากเมือง Stelvio (หรือ Stilfserhof ในภาษาเยอรมัน) ระหว่างทางมุ่งหน้าเข้าหาโดโลไมท์ส ผ่านเมือง Bolzano เพื่อจะไปลงหลักปักฐานกันที่เมือง Ortisei แล้วออกท่องทุ่งนาป่าเขากัน

ยิ่งเข้าใกล้โดโลไมท์ส วิวทิวทัศน์ก็ตระการตาขึ้นเรื่อยๆ เราแวะเที่ยวในเมือง Bolzano เมืองเล็กน่ารัก ผู้คนมีไมตรี กินไอติมกับสตรอเบอรี่แสนอร่อย

ระหว่างทางเราแวะจุดสวยงามน่าสนใจอย่าง เมืองโซลดา ก็จะมีโบสถ์ริมบึงเล็กๆ สวยงามมาก คราวนี้มีเป็ดก้าบๆ มาเดินเล่นบนผิวน้ำที่เป็นน้ำแข็งด้วย หรืออย่างที่หมู่บ้านเล็กๆ St. Magdalena (Santa Maddalena) ตรงหุบเขา Val di Funes นั่นก็ที่ที่นักท่องเที่ยวมากมายดั้นด้นไป เส้นทางก็แคบแบบวัดใจรถสวนกันไม่ได้ จุดชมวิวก็ตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นขี้วัวชนิดติดตัวติดรถไปสามวัน แต่เราก็ไม่ย่อท้อไปถึงจนได้ แม้เมฆหมอกจะมาก มองไม่เห็นฉากหลังของเทือกเขาโดโลไมท์ แต่ก็สวยงามมาก ถ้ามีเวลามะรืนนี้เราจะกลับมาอีกครั้ง

ส่วนทิวทัศน์สองข้างทางนั้นไม่ต้องพูดถึง สวยงามมากมาย ผมชอบที่นึงที่มีปราสาทเล็กๆ อยู่บนยอดเนิน

ไฮไลท์ประจำวันอยู่ที่ที่พัก เป็นอพาร์ทเม้นท์สวยงามน่ารัก ผมได้ห้องพักเป็นแบบฮันนีมูนสวีท โรแมนติกสุดๆ คือคนที่จะมาพักห้องนี้ด้วยกันได้นั้น จะต้องไม่มีความลับไม่ว่าซอกมุมใดๆ ต่อกันทั้งสิ้น คนออกแบบนี่ก็ช่างไม่เข้าใจความรู้สึกของคนโสดบ้างเลย นอนไม่หลับตะกายข้างฝาแกรกๆ ทั้งคืน เล่นเอาตื่นมาปวดหัว

เมืองออร์ทิเซ่ (Ortisei) นี้มีชื่อเสียงมากในด้านกีฬาฤดูหนาว เป็นสกีรีสอร์ทอันดับต้นๆ ของยุโรป วันนี้เราไปขึ้นกระเช้าไปยอดเขา Alpe di Siusi แต่ไปชมวิว ไม่ได้ไปเล่นสกี

ไปถึงเก้าโมงกว่า หมอกทึบยังกะเทศบาลมาฉีดกันยุง ห่างกันสิบเมตรก็มองกันไม่เห็นแล้ว แต่ไหนๆ ก็จ่าย €17 ขึ้นมาแล้วก็เลยนั่งเอ้อระเหยกัน พอสักสิบโมงกว่ากะว่าจะลงไปลุยเอาตังค์คืน ฉับพลันตะวันก็ฉายแสง ยอดของขุนเขา Sassolungo ไล่ไปจนถึง Sasso Piatto ก็ปรากฏให้เห็นทางซ้าย ส่วนทางขวา ยอด Punta Santer และ Punta Euringer (โลโก้ของขนมเวเฟอร์ Loacker) ก็เผยโฉมออกมาเช่นเดียวกัน แถมด้วยเมืองออร์ทิเซ่ด้านล่างด้วย

เดินทางข้าม pass Pordoi ต่อไปยังหุบเขาการ์ดีนา หรือ Val Gardena อยู่ดีๆ เราก็ต้องเบรครถพรืด แล้วบ่นอุบอิบว่ารู้งี้ไม่ต้องเสีย €17 ก็ดี ก็ภูเขาสูงตระหง่านมองเห็นชัดเจนแจ่มแจ๋วตรงหน้านั่นก็คืออันที่เราลุ้นกันเมื่อเช้านั่นเอง ด้วยต้นสนและท้องทุ่งที่เปลี่ยนเป็นสีเหลืองและแสงแดดที่ส่องกระทบ ทำให้ทุกอย่างเหมือนถูกฉาบด้วยสีเหลือง สวยงามมาก

ต่อไปยัง pass Sella เราได้เห็นขุนเขาแห่งโดโลไมท์สเป็นสีเทาหม่น ท่ามกลางสายฝนปรอยและหมอกหนาเป็นช่วงๆ แต่เมื่อใดที่แสงอาทิตย์ทะลุลงมาได้ เราก็จะเห็นภูเขาเป็นสีเหลืองออกแดงๆ ซึ่งเกิดจากสีของแร่โดโลไมท์สะท้อนออกมานั่นเอง

วันนี้พยากรณ์อากาศบอกว่าช่วงเช้าท้องฟ้าเปิด ไม่มีฝน ทำให้เราตัดสินใจไปดมขี้วัวกันที่ St. Magdalena กันอีกครั้ง เพื่อที่จะเก็บเทือกเขา โดโลไมท์ อิตาลี ที่เป็นฉากหลังให้ได้ และก็ไม่ผิดหวัง สวยสดงดงามจริง แถมกลิ่นขี้วัวไม่แรงเหมือนเมื่อวานอีกต่างหาก

เราเดินทางต่อผ่าน pass delle Erbe เพื่อที่จะข้ามพรมแดนเข้าประเทศออสเตรีย วิวทิวทัศน์ตรง pass ก็สวยงามมาก เป็นทะเลหมอกคลุมทั้งหุบเขา สวยๆๆๆๆ จุดนี้เป็นจุดเริ่มต้น trekking ของโดโลไมท์สหลายๆ เส้นทาง

เลยมาก่อนถึงหมู่บ้าน Rina Welschellen นิดเดียว เราก็ต้องเบรครถหัวทิ่มหัวตำอีกหน เพราะมีคนบอกว่าถนนๆๆ ไปสวรรค์ๆๆ ไอ้เราก็นึกว่าองค์ลง แต่จริงๆ แล้วเป็นหุบเขาข้างทาง รวบรวมทุกสรรพสิ่งที่สวยงามอยู่ในที่เดียวกัน ทั้งต้นไม้เปลี่ยนสี ทะเลหมอก ขุนเขาโดโลไมท์สและถนนสายน้อยที่ทอดขึ้นสูงเลือนหายไปท่ามกลางสายหมอก สวยจนหัวใจหยุดเต้นไปชั่วขณะ

ก่อนที่จะข้ามเข้าประเทศออสเตรีย (ไปแอบเติมน้ำมันแวบนึง เพราะถูกกว่าอิตาลีลิตรละหลายบาท) เราแวะชม Pragser Wildsee ทะเลสาบเล็กๆ ในหุบเขา น้ำใสสีเขียวราบเรียบราวกระจก ที่นี่เป็นฉากถ่ายหนังและละครอิตาลีหลายเรื่อง

แล้วก็ข้ามเข้าออสเตรีย เติมน้ำมันแล้วก็ไปแวะโรงงานขนม Loacker ที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก มาครั้งนี้ผมก็พยายามซื้อถุงใหญ่ที่หมุนอยู่หน้าโรงงาน เขาบอกว่าถ้าแบกไปได้ก็ให้ฟรี

วกกลับเข้าอิตาลี ไปพักที่เมือง Cortina ได้ห้องคู่รักสวยหวานให้ตะกายข้างฝาอีกละ มิน่า ทำไมป้ายโรงแรมถึงมีรูปหัวใจสามดวง

เราตัดสินใจย้อนเส้นทางเดิมไปชมทะเลสาบ Misurina ที่เมื่อวานผ่านมาแล้วฝนตก วันนี้ท้องฟ้าเปิด งดงามแจ่มใส สาละวนถ่ายรูปกันเกือบสองชั่วโมง ปลายสุดข้างหนึ่งของทะเลสาบเป็นสถานพักฟื้นของเด็กๆ ที่เป็นโรคหอบหืด เพราะอากาศที่นี่บริสุทธิ์มาก

แล้วก็ออกเดินทางต่อไปตามเส้นทาง Grand Dolomites Road สวยงามยิ่งใหญ่สมชื่อ แถมเป็นช่วงที่ ใบไม้เปลี่ยนสี สวยที่สุด ขอย้ำว่าสวรรค์บนดินนั้นมีจริงๆ

Pass Giau คือ pass ที่ใครมาโดโลไมท์สจะต้องผ่านให้ได้อย่างเด็ดขาด จุดนี้เหมือนศูนย์กลางของโดโลไมท์ มียอดเขายิ่งใหญ่ล้อมรอบ 360 องศา วันนี้ท้องฟ้าเปิดร้อยเปอร์เซ็นต์ ท้องฟ้าสีฟ้าใสชนิดที่จะมีได้บนยอดเขาสูงเท่านั้น สวยเกินบรรยาย

ลงจาก pass Giau แล้วก็ขึ้น pass Pordoi อีกครั้ง แวะทานข้าวแบบปิคนิคที่หมู่บ้านเล็กๆ ชื่อ Colle Santa Lucia มีโบสถ์เล็กสวยงามและสุสานอยู่ด้านหลังอิงเทือกเขาโดโลไมท์ ผู้ตายน่าจะสงบสุขชั่วนิรันดร์ในสถานที่สวยงามที่สุดแห่งนี้

ก่อนเดินทางไปสู่จุดหมายที่เมือง Molvano เราผ่านสถานที่หนึ่งมีรถจอดหลายคันก็เลยขอแวะหน่อย ปรากฏว่าเป็นทะเลสาบในหุบเขาอีกแห่งหนึ่งชื่อ Lago di Carezza สวยงามมากไม่แพ้ Pragser Wildsee ที่ไปมาเมื่อวาน ข่วงนี้น้ำน้อยไปนิด แต่ก็คุ้มค่าที่แวะชม

เส้นทาง Grand Dolomites เริ่มจากเมือง Cortina d’Ampezzo ไปสิ้นสุดที่เมือง Molvano ผ่านสอง pass ใหญ่คือ Giau และ Pordoi ถ้ามาหน้าร้อนก็มาดูทุ่งดอกไม้ หน้าหนาวก็ทุ่งหิมะ แต่สวยสุดก็ใบไม้เปลี่ยนสีนี่แหละ เท่าที่ผมเคยเห็นมา ผมว่าที่มลรัฐเวอร์มอนท์ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นที่หนึ่ง แต่พอมาเห็นที่นี่คิดว่าไม่แพ้แน่นอน แม้ต้นไม้จะดูน้อยกว่า แต่มีเทือกโดโลไมท์สขึ้นมาชดเชยได้

ใครอยาก เที่ยวอิตาลี ในแนวธรรมชาติ ก็จะมีเส้นทางโดโลไมท์สนี่เป็นเส้นทางภูเขา และเส้นทางอมาลฟี (Amalfi) ทางตอนใต้เป็นเส้นเลียบชายฝั่งทะเล ระดับความสวยไม่แพ้กัน ส่วนเส้นทางช้อปปิ้งก็ไปขึ้นบันไดสเปนในกรุงโรมเอาก็แลัวกัน จบข่าว อิอิ

อำลาโดโลไมท์ส ดินแดนที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2552 และออกจากเส้นทาง Grand Dolomites ที่เมือง Molvano เข้าสู่ถนนเลียบทะเลสาบการ์ด้า (Garda) ทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในอิตาลี ไปสู่จุดหมายที่เมือง Sirmione ระหว่างทางเราจะแวะชมเมืองเล็กๆ น่ารัก อย่างเมือง Lazise และเมือง Malcesine รวมทั้งทะเลสาบสีเขียวใส Tenno ด้วย

ใครไปอิตาลีก็จะนึกถึงทะเลสาบโคโม (Como) ก่อน แต่ผมขอฟันธงเลยว่าทะเลสาบการ์ด้านี้สวยกว่าทุกมุมมอง เริ่มตั้งแต่ตอนเหนือสุดของทะเลสาบที่เมือง Riva del Garda จนถึงใต้สุดที่ Sirmione เมืองที่มีลักษณะเหมือนหัวธนูยื่นเข้าไปในทะเลสาบ จากทิวทัศน์ของขุนเขายิ่งใหญ่ กลายเป็นภูเขาลูกเล็กและทุ่งหญ้าแบบทัสคานี สวยแบบโรแมนติก ทุกๆ เมืองริมทะเลสาบเหมาะแก่การสโลว์ไลฟ์และกินไอศครีมมาก

พูดถึงไอศครีม มาอิตาลีแล้วถ้าไม่กินไอศครีมนี่เหมาะแก่การนอนดูซีรี่ส์อยู่บ้านมากกว่า แทบทุกเมืองจะมีไอศครีมท้องถิ่น home made ซึ่งล้วนแล้วแต่อร่อยและอร่อยมากทั้งสิ้น แต่ก็มียี่ห้อดังๆ ที่มีในหลายเมืองใหญ่อย่างยี่ห้อ GROM (รสช็อคโกแลตต่างๆ) กะยี่ห้อนกเพนกวิน (รสนกเพนกวิน 555) อันหลังนี่คอนเฟิร์มว่าอร่อยมากๆๆๆ แล้วก็มียี่ห้อ Like ที่เด่นทางด้านไอศครีมผลไม้ต่างๆ ผมแนะนำรส Melogano เปรี้ยวๆ หวานๆ หอมๆ เหมือนกินซูกัส

เที่ยวนี้ผมกินไอศครีมไปทั้งหมด 11 โคน 19 ลูก หมดไปสองพันกว่าบาท บางวันกินแทนอาหารเย็น น้ำหนักกับคลอเรสเตอรอลพุ่งพรวด

ได้กลับบ้านแล้ว เย้ๆๆๆ

หมายเหตุ: รูปทุกรูปในโพสท์นี้ถ่ายด้วย iPhone 6+ หลายรูปถ่ายผ่านกระจกรถ ขอบคุณคนขับที่ช่วยชะลอรถให้ถ่ายตลอด เอ..หรือมันหัวเลี้ยวโค้งพับผ้าพอดีหว่า 55

ขอบคุณ Guest สุดพิเศษ คุณ InIn all the way พี่อินเล่าเรื่อง สังกัด Pantip จากกระทู้ “ใบไม้เปลี่ยนสี @โดโลไมท์ส อิตาลี” ที่มามอบประสบการณ์เที่ยว โดโลไมท์ อิตาลี ในช่วงใบไม้เปลี่ยนสีให้ชมแบบจัดเต็มสุดๆ ได้รับเสียงปรบมือจากเราไปเลย!!
ระดับความน่าไป : ✩✩✩✩✩
พูดคุยกับ Guest ได้ที่ : https://www.facebook.com/ininalltheway/


ชอบ บทความ มัชรูมทราเวล ทำไงดี…?
1.กดแชร์ต่อ ให้เพื่อนอ่านบ้าง
2. คลิก Like และ ติดตามเราได้ที่ Facebook www.facebook.com/mushroomtravel/

—————

Mushroom Travel มีโปรแกรม ทัวร์อิตาลี ให้เลือกมากที่สุด
โทร. 02-105-6234 (30 คู่สาย)
[email protected]
Line id : @mushroomtravel

สินค้าที่เกี่ยวข้อง