Mushroom Travel LINE
เราช่วยคุณได้
@mushroomtour
จันทร์ - เสาร์
9:00-22:00
อาทิตย์
9:00-18:00
Call Mushroom Travel
Call Center
02 105 6234
จอง 6 คนขึ้นไป
จอง 6 คนขึ้นไป
02 105 6244
Loading...

A long journey in Japan. 14 วัน จาก Tokyo ถึง Sapporo. ตอนที่ 2

โพสเมื่อ

มาต่อกันกับ ตอนที่ 2 ของรีวิว เที่ยวทั่วญี่ปุ่น จาก Guest สุดพิเศษ ในเส้นทางจากโตเกียวขึ้นเหนือไปซัปโปโร จัดเต็ม 14 วัน! ตอนที่ 1 เราเดินทางถึงฮอกไกโดเรียบร้อย ครั้งนี้เราจะเที่ยวในเส้นทางกลับกันเป็น ซัปโปโร โตเกียว จะได้เที่ยวที่ไหนบ้าง ต้องไปติดตามกันนะคะ


A long journey in Japan. 14 วัน จาก Tokyo ถึง Sapporo. ตอนที่ 2

วันที่ 8

มาเที่ยว ซัปโปโร โตเกียว กันต่อครับ วันนี้เราจะไปสกีรีสอร์ท ที่ Kiroro Resort เห็นว่ามีเจ้าของเป็นคนไทยด้วย
วันนี้ฟ้าครึ้มอีกแล้ว (ซวยจริงๆ ทำไมต้องมาครึ้มวันนี้ 55555) ในช่วงเช้าเรา หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จแล้วเดินเล่นเก็บตกใน Sapporo กันก่อนครับ เริ่มจาก Sapporo Clock Tower

ดูไม่ผิดหรอกครับ 55555 อันนี้แหละหอนาฬิกาเมืองซับโปโร เข้าไปดูข้างในได้ด้วยนะ 200 เยน
หลังจากนั้นก็ไปเข้าไปเดินเล่นใน Hokkaido University ครับ

และกลับไปเช็คเอาท์โรงแรมจากนั้นออกเดินทางไป Kiroro Resort ที่สถานี Otaru-Chikko ซึ่งมี Free Shuttle Bus ของโรงแรมมารับไปครับ

เมื่อมาถึงก็เริ่มมีฝนปรอยๆ ลงมาล่ะครับ โชคไม่เข้าข้างเล้ยยย 55555 เอาเป็นว่าไม่ได้เล่นสกี ก็เล่นหิมะมันนี่ล่ะ พอละครับ 555

วันที่ 9

ตื่นเช้ามาพร้อมกับ ฟ้าที่เริ่มแจ่มใส(บ้าง) แต่เนื่องจากที่นี่อยู่บนเขา อากาศจึงเย็นและสดชื่นกว่าที่ Sapporo มากๆๆ ครับ

เรากินอาหารเช้า ออกไปเล่นหิมะอีกพักนึง จากนั้นก็ทำการเช็คเอาท์ แล้วกลับไปที่สถานี Otaru-Chikko ครับ
เราจะเดินทางไปยัง เมือง Toya เป็นซึ่งเมืองที่ติดทะเลสาบ โดยต้องไปเปลี่ยนรถที่ Sapporo แต่เนื่องจาก เวลาที่ Shuttle Bus โรงแรมมาถึง กับรอบรถไฟต่อไปห่างกันเป็นชั่วโมง เราจึงเอากระเป๋ายัดล็อกเกอร์ แล้วออกไปหาอาหารกลางวันทานที่ Otaru ครับ

ซัปโปโร โตเกียว

คลอง Otaru เวอร์ชั่นกลางวันกันบ้าง

หลังจากนั่งรถไฟยาวนานราวๆ 2 ชั่วโมงครึ่ง เราก็มาถึงสถานี Toya ประมาณ 4 โมงเย็นครับ ที่นี่เหมือนที่ Noboribetsu คือจะมี Bus รับจากสถานีรถไฟต่อไปยังเมือง Toyako onsen ซึ่งอยู่ติดทะเลสาบครับ

ที่นี่จะมีการให้ล่องเรือข้ามไปยังเกาะกลางทะเลสาบ แต่วันนี้เรามาช้าไป เรือหมดซะแล้ว
ไม่เป็นไรไว้พรุ่งนี้แล้วกัน

วันที่ 10

วันนี้ตื่นมาเจอกับฟ้าครึ้มเป็นลางไม่ดีอีกแล้ว 555 หลังกินอาหารเช้าเสร็จก็ออกไปเดินเล่นริมทะเลสาบ ลมแรงมากๆๆๆ ครับ แรงซะจนเค้างดล่องเรือ โถ่ๆๆ

แถมกระเช้า Usuzan Ropeway ก็คงจะปิด เป็นอันว่าเมืองนี้มานอนริมทะเลสาบเล่นๆ ครับ

มีออนเซ็นแช่เท้าด้วย

ด้วยความเซ็งเรารีบเช็คเอาท์แล้วเดินทางต่อไปยัง Hakodate เลยครับ ใช้เวลาร่วมๆ 2 ชั่วโมง

เราเช็คอินเอากระเป๋าเก็บที่โรงแรม จากนั้นก็มารอรถราง หรือ Street Car ของที่นี่ครับ แนะนำให้ซื้อ 1-day pass 600 เยนไปเลยใช้ 3 เที่ยวก็คุ้มแล้ว สามารถซื้อได้จากคนขับรถเลยครับ

จุดหมายแรกคือ Fort Goryokaku ครับ ป้อมปราการรูปดาว ลงสถานี Goryokaku-koen-mae
เดินเข้าไปชมข้างในครับ

ภายในเป็นที่ตั้งของ Hakodate Magistrate’s Office ครับ

เสร็จแล้วก็ขึ้นไปชมวิวจากหอคอย Goryokaku

เห็นป้อมปราการเป็นรูปดาวด้วย

อีกฝั่งจะเห็นวิวเมือง รวมไปถึง Mt. Hakodate ด้วยครับ

เย็นแล้ว ยืนรอ Street Car ไป หอประชุมเมือง Hakodate หลังเก่าครับ ลงสถานี Suehiro-cho เดินขึ้นไปตามเนินครับ

นี่ไม่ใช่เนิน Hachiman-saka นะครับ แต่ก็สวยเหมือนๆ กัน

ข้างบนสุดเป็นอาคารหอประชุมเมือง Hakodate หลังเก่า สวยดีครับ เข้าไปข้างในได้ด้วย

จากนั้นนั่ง Streetcar ต่อไปลงสถานี Jujigai เพื่อจะไปขึ้นกระเช้าไปชมวิวบน Mt. Hakodate ครับ
ต..ต..แต่ แม้ว่าวันนี้จะอากาศดี แต่พอไปถึงงงง…
ปิดครับ!!!! เนื่องจากลมแรงมากๆๆ เลยไม่เปิดให้ใช้ อ่าว ก็ขึ้นไม่ได้สิครับ และก็อยู่ที่นี่คืนเดียวด้วย อดชมวิวตอนกลางคืนเลย โถ่ๆๆ ไม่น่าเล้ยยย

อาหารเย็นเป็น โซบะร้านแถวๆ โรงแรม แต่หน้าร้านดูดีเลยเข้า ปรากฏว่าอร่อยมากๆ ครับ

แล้วกลับที่พักมาด้วยความเซ็งเช่นเคยครับ 555

วันที่ 11

วันนี้เช้าไปกินอาหารเช้าที่ตลาดปลากันครับ

ตามแพลนต้องเดินทางกลับโตเกียวแล้ว แต่ ไม่ยอม! ยังไม่ได้ขึ้น Mt.Hakodate ก็เหมือนว่ายังมาไม่ถึง (อะไรจะขนาดน้านนน) เลยนั่งรถรางไปเพื่อจะไปขึ้นกระเช้าครับ

ระหว่างเดินขึ้นเนินอยู่ก็มี taxi มาจอดแล้วแนะนำว่าให้พาไปส่งข้างบนมั้ยถูกกว่าขึ้นกระเช้าอีกนะ ทางเราก็งงครับ แบบว่าอ่าวเฮ้ยยย ขึ้น taxi ไปด้วยด้วยเหรอ ถ้ารถขึ้นได้น่าจะขึ้นตั้งแต่เมื่อคืนแล้วแหม่ ไม่พอยังถูกกว่าขึ้นกระเช้าอีก และแล้วก็ถูกกว่าจริงๆ ครับ 4 คน ขึ้นลงก็ราวๆ 4,200 เยน ตกคนละพันกว่าเยน พลาดจริงๆ ครับเมื่อคืน 5555

***** ดังนั้นถ้าไปกันหลายคนเรียกแท็กซี่เลยครับ เรียกตั้งแต่สถานี JR Hakodate ก็ได้ เพราะรวมไปแล้วหารออกมายังถูกกว่านั่งรถรางมาจากสถานี JR Hakodate อีก *****

วิวข้างบนสวยจริงๆ ครับ

อีกมุมนึงครับ

จากนั้นก็จึงกลับไปเอากระเป่าที่โรงแรม แล้วขึ้นรถไฟไปสถานี Shin-Hakodate-Hokuto เพื่อนั่ง Shinkansen กลับ Tokyo ครับ

จริงๆ เดินทาง ซัปโปโร โตเกียว ว่าจะแวะชมซากุระที่ปราสาท Hirosaki เมือง Aomori แต่ว่ายังไม่บานเต็มที่ จึงเปลี่ยนไปชมที่ Kitakami (อยู่ใกล้ๆ Morioka) ซึ่งกำลังฟูลบลูมช่วงนั้นแทนครับ

JR Kitakami เป็นสถานีที่ Shinkansen จอดครับ แต่ว่าขบวน Hokkaido Shinkansen ที่เรานั่งมาจะไม่จอด จึงต้องเปลี่ยนขบวนที่สถานี Morioka ใช้เวลาเดินทางรวมเปลี่ยนรถ 2 ชั่วโมงครึ่งจาก Shin-Hakodate-Hokuto ก็ถึงแล้วครับ

เช่นเคย เราฝากกระเป๋าในล็อกเกอร์แล้วเดินไปเรื่อยๆ ก็จะถึงแม่น้ำ Kitakami ครับ อยู่ใกล้สถานีมาก เรียกได้ว่าเห็นซากุระตั้งแต่บนรถไฟแล้ว

มีล่องเรือและธงปลาคราฟด้วย
ข้ามสะพานไปอีกฝั่งครับ

ที่นี่จะคล้ายๆกับที่ Funaoka ริมแม่น้ำ Shiroishi แต่ว่าจะต่างกันตรงที่ ที่นี่ปลูกริมทางเดินทั้ง 2 ข้าง เป็นอุโมงค์ซากุระยาวไปเรื่อยๆ แต่ที่ Funaoka ปลูกเพียงฝั่งเดียวครับ

หลังจากชมซากุระจนเย็นแล้ว เราก็กลับไปที่สถานี และนั่ง Shinkansen ยาวๆ ไปถึง Tokyo เลยครับ

วันที่ 12

วันนี้ตั้งใจจะไป Hitachi Seaside Park ครับ เช่นเคยครับ ฝนตก(อีกแล้ว) และพยากรณ์ว่าจะตกอย่างงี้จนกลางคืน เราจึงเปลี่ยนใจเป็นเดินเล่น(กลางสายฝน) ในโตเกียวแทน

เริ่มจาก Tokyo Station ครับ ไปที่ Imperial Palace ที่พลาดไปเมื่อต้นทริปครับ ซากุระหายหมดแล้ว ได้ฝนมาแทน 555

จากฝนก็เป็นพายุเลยครับทีนี้ เราหลบฝนจนเสียเวลาไปราวๆ ครึ่งวัน

ระหว่างนั้นก็ได้เจอร้านข้าวหน้าปลาไหล Hashimoto จากกระทู้นี้ครับ http://pantip.com/topic/30692975
ขอบคุณเจ้าของกระทู้นั้นมากๆ ครับ 5555

อร่อยจริงๆ ครับ ใครสนใจก็เข้าไปดูรายละเอียดได้

ในที่สุดราวๆ บ่ายแก่ๆ ฝนก็หยุดครับ นั่งรถต่อไปที่ JR Harajuku ไปที่ ศาลเจ้า Meiji ครับ

บรรยากาศร่มรื่นกลางเมืองอันแสนวุ่นวาย หายากครับ มากี่ครั้งก็ชอบที่นี่ที่สุดในโตเกียวละครับ

ถังหมักสาเก

ภายในศาลเจ้าครับ

จากนั้นก็ไปเดินเล่นช้อปปิ้งที่ Harajuku

หลังกินข้าวเย็นเสร็จเราก็ไปขึ้น Tokyo Skytree ชมวิวเมือง ตอนกลางคืนกันครับ

เมื่อไปถึงจะต้องซื้อตั๋วขึ้นไปชั้น 350 m ก่อนนะครับ (ประมาณ 2,000 กว่าเยน) เมื่อขึ้นไปถึงแล้วอยากขึ้นไปต่อที่ชั้น 450 m ค่อยซื้อตั๋วอีกทีบนนั้นครับ (ประมาณอีกพันกว่าเยน)

แม้ว่าค่าขึ้นจะค่อนข้างแพงทีเดียว แต่เมื่อได้มาเห็นวิวก็ถือว่าคุ้มมากๆ ครับ

จากที่นี่เห็น Tokyo Tower ด้วย

วันที่ 13

วันนี้ท้องฟ้าแจ่มใส รีบดู live cam ของ Kawaguchiko ครับ (http://www.fujigoko.tv/english/) ปรากฏว่าเห็นฟูจิซังชัดเต็มๆ เลยรีบออกเดินทางไปยัง Kawaguchiko เลย
เริ่มจากที่ JR Shinjuku  >>> JR Otsuki แล้วเปลี่ยนไปเป็นรถของ Fujikyu Railway >>> Kawaguchiko Stationครับ

บนรถไฟก็เห็นฟูจิซังชัดแจ๋วเลย

ถึงแล้วครับสถานี Kawaguchiko

จากตรงนี้มีรถรับเราไปดู Shibazakura หรือพิ้งค์มอสนั่นเอง ก่อนจะซื้อตั๋วเจ้าหน้าที่บอกเราว่าบานแค่ 20% เท่านั้น เราเลยตกลงกันว่า งั้นไม่ไปแล้วกัน

จากสถานีถ้าเดินไปก็ไม่ไกล จะถึงบริเวณริมทะเลสาบ มีทางขึ้น Kachi Kachi Ropeway เราซื้อตั๋วไปกลับกระเช้า คู่กับ ตั๋วล่องเรือในราคาที่ถูกลง

บรรยากาศข้างบนครับ อ้าวฟ้าเริ่มครึ้มอีกเช่นเคย

เสร็จแล้วเราไปล่องเรือต่อครับ

หลังจากล่องเรือเสร็จเราก็เดินกลับสถานีครับ เพื่อจะไปที่สถานี Mt.Fuji ต่อครับ (Search Hyperdia ว่า สถานี Fujisan นะครับ)
จากที่นี่ ขึ้นบัสไปยัง Oshino hakkai ได้ครับ สำหรับตารางเวลาสามารถเช็คได้กับ Travel center ครับจนทที่นี่พูดอังกฤษคล่องทีเดียว

รถบัสจะจอดที่ป้ายรถ ข้างหน้าทางเข้าครับ ระหว่างเดินเข้าไปก็เจอซากุระอย่างไม่น่าเชื่อ (นึกว่าร่วงไปพร้อมที่โตเกียวแล้ว) กำลังบานสะพรั่งเลยครับ

และเข้ามาในหมู่บ้าน ก็จะเจอกับบ่อน้ำ น้ำใสมากๆ ครับ

ลองดื่มได้ด้วย

มองจากมุมนี้ควรจะเห็นฟูจิเป็น background แต่ตอนนี้เมฆบังหมดแล้ว

มีขนมขายครับ

หลังจากนั้นเราก็กลับออกมาทางเดิม มารอรถบัส เพื่อกลับไปที่สถานี Mt.Fuji ครับ
เมื่อมาถึงแล้วก็นั่งรถไฟต่อไปที่สถานี Shimoyoshida เพื่อไปดู Chureito Pagoda หรือ เจดีย์แดง คู่กับฟูจิครับ

ระหว่างทางขึ้นค่อนข้างชันมากครับ กินพลังงานเยอะเลยทีเดียว

แต่พอขึ้นมาถึงก็หายเหนื่อยเลยครับ กับวิวจากมุมมหาชน

เนื่องจากรถรอบต่อไปออกเกือบๆ 2 ทุ่มเราจึงนั่งชมวิวอยู่บนนั้นนานพอสมควร ยังมีคนอีกหลายคนนั่งอยู่บนนั้นเช่นกันครับ

เริ่มมืดแล้ว อีกซักรูปก่อนกลับ

ได้เวลากลับ Tokyo แล้ว

วันที่ 14

วันนี้วันสุดท้ายแล้วครับ เช็คเอาท์จากโรงแรมแล้วก็ฝากกระเป๋าในล็อกเกอร์แล้วก็ไป ช้อปๆๆๆ ทั้ง Shibuya, Shinjuku จนถึงตอนบ่ายๆ ก็กลับไปเอากระเป๋าแล้วนั่ง N’EX ไปสนามบินนาริตะครับ ใช้ JR pass ให้คุ้มยันวันสุดท้าย

Bye Bye แล้วไว้เจอกันใหม่นะ

ทุกรูปถ่ายด้วย Canon EOS 550D (เก่าแท้) และ iPhone 6 ครับ
เลนส์
EF-S 10-22 mm f/3.5-4.5 USM
EF 50 mm f/1.8 II
EF 70-200 f/4L USM
EF-S 18-55 mm f/3.5-5.6 IS

ขอบคุณทุกๆคนที่แวะเข้ามาอ่านมากๆ นะค้าบบบบ ^^

ขอบคุณ Guest สุดพิเศษ สมาชิกหมายเลข 3293560 สังกัด Pantip จากกระทู้ “[CR] A long journey in Japan. 14 วัน จาก Tokyo ถึง Sapporo.” ที่มามอบประสบการณ์ เที่ยวญี่ปุ่นในเส้นทาง ซัปโปโร โตเกียว ให้ชมแบบจัดเต็ม! ได้รับเสียงปรบมือจากเราไปเล้ยย!!
ระดับความน่าไป : ✩✩✩✩✩


ชอบ บทความ มัชรูมทราเวล ทำไงดี…?
1.กดแชร์ต่อ ให้เพื่อนอ่านบ้าง
2. คลิก Like และ ติดตามเราได้ที่ Facebook www.facebook.com/mushroomtravel/

—————

Mushroom Travel มีโปรแกรม ทัวร์ญี่ปุ่น ให้เลือกมากที่สุด
โทร. 02-105-6234 (30 คู่สาย)
[email protected]
Line id : @mushroomtravel

สินค้าที่เกี่ยวข้อง