Mushroom Travel LINE
เราช่วยคุณได้
@mushroomtour
จันทร์ - เสาร์
9:00-22:00
อาทิตย์
9:00-18:00
Call Mushroom Travel
Call Center
02 105 6234
จอง 6 คนขึ้นไป
จอง 6 คนขึ้นไป
02 105 6244
Loading...

วัดและ ศาลเจ้าญี่ปุ่น ต่างกันยังไง ? พร้อมแจก 20 พิกัด ไปเที่ยวก็ได้ ไปมูก็ดี

สายมูห้ามพลาด! เพราะพี่เห็ดจะพาเพื่อนๆ ไป เที่ยวญี่ปุ่น สักการะวัด และ ศาลเจ้าญี่ปุ่น ชื่อดังทั่วประเทศ ขอพรเรื่องงาน เสริมดวงความรัก การเงิน และสุขภาพ ครบทุกด้าน อย่างที่เรารู้กันดีว่าญี่ปุ่นก็เป็นอีกหนึ่งจุดหมายที่สายมูทั่วเอเชียนิยมเดินทางไปไหว้พระขอพร ไม่ว่าจะอยากเสริมดวงด้านไหนก็มีวัดและศาลเจ้ามากมายให้เลือกไปสักการะกันตามความศรัทธา ซึ่งแต่ละสถานที่ล้วนมีเรื่องราว ความเชื่อ และเอกลักษณ์เฉพาะตัว บางแห่งขึ้นชื่อเรื่องความรัก บางแห่งโดดเด่นด้านการเรียกโชคลาภ และยังมีเครื่องรางน่ารักๆ ให้เช่ามาพกติดตัวด้วย แต่ก่อนจะเริ่มเปิดลิสต์พิกัดมู พี่เห็ด มัชรูมทราเวล อยากชวนมาทำความเข้าใจกันก่อนว่าในญี่ปุ่นนั้น “วัด” และ “ศาลเจ้า” ถึงแม้จะเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เหมือนกัน แต่จริงๆ แล้วมีความแตกต่างกันอยู่หลายจุดเลยทีเดียว

ความแตกต่างระหว่าง วัด และ ศาลเจ้า ในญี่ปุ่น

ญี่ปุ่นมีศาสนาชินโตและศาสนาพุทธอยู่ร่วมกันมานาน ทำให้มีทั้ง ศาลเจ้า ภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า จินจะ (Jinja) และ วัด ภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า โอเตระ (Otera) หรือ จิ (Ji) ซึ่งมีจุดเด่นและบรรยากาศเฉพาะตัวแตกต่างกันไป ตามนี้

ศาลเจ้าญี่ปุ่น
Credit : indahlestar29 | Indah Lestari / canva.com

ศาลเจ้า (Jinja / 神社) : เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาชินโต บูชาเทพเจ้า หรือชาวญี่ปุ่นเรียกว่า “คามิ” (Kami) ผู้ดูแล ปกป้องผู้คน ธรรมชาติ และบ้านเมือง สังเกตได้จาก “ประตูโทริอิ (Torii)” เสาสีแดงที่ตั้งอยู่ทางเข้า เปรียบเสมือนเส้นแบ่งระหว่างโลกมนุษย์กับแดนศักดิ์สิทธิ์ พิธีกรรมมักเกี่ยวข้องกับการขอพรให้โชคดี เรียกความรัก หรือปัดเป่าสิ่งไม่ดีออกจากชีวิต โดยวิธีการคือให้โยนเหรียญลงในกล่องบริจาค สั่นกระดิ่งเพื่อต้อนรับเทพเจ้า แล้วโค้งคำนับ 2 ครั้ง ปรบมือ 2 ครั้ง จากนั้นอธิษฐานขอพร ปิดท้ายด้วยการโค้งคำนับอีก 1 ครั้ง

ศาลเจ้าญี่ปุ่น
Credit : Richie Chan / shutterstock.com

วัด (Otera, Ji / お寺, 寺) : เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาพุทธ ได้รับการเผยแพร่เข้ามาจากจีนและเกาหลี พิธีกรรมมักสวดมนต์ ทำบุญ จุดธูป และบูชาพระพุทธรูป สังเกตได้จากการมี เจดีย์ หอระฆัง รวมถึงมีพระหรือนักบวชประจำอยู่ ผู้คนนิยมมาขอพรเรื่องสุขภาพ การเรียน หรือแสดงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษ โดยวิธีการคือ พนมมือขอพร จากนั้นโค้งคำนับ 1 ครั้ง

จะเห็นว่าทั้ง วัด และ ศาลเจ้า ต่างก็เป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวญี่ปุ่น แต่มีแนวทางแห่งศรัทธาแตกต่างกันเล็กน้อย ซึ่งก็เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของประเทศนี้เลย เพราะไม่ว่าจะไปเมืองไหนก็จะพบสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ให้ความรู้สึกสงบและเต็มไปด้วยพลังดีๆ เสมอ

หลังจากทราบความแตกต่างของวัดและศาลเจ้าในญี่ปุ่นแล้ว ทีนี้ก็ตามพี่เห็ดมาไหว้พระขอพรกับ 10 วัด และ 10 ศาลเจ้าญี่ปุ่น ทั่วประเทศกัน

ศาลเจ้าญี่ปุ่น

1. ศาลเจ้าคาวาโกเอะคุมะโนะ (Kawagoe Kumano Shrine) – คาวาโกเอะ, ไซตามะ

ศาลเจ้าญี่ปุ่น
Credit : Sitthipong Pengjan / shutterstock.com

ประเดิมกันที่แรก ศาลเจ้าคาวาโกเอะคุมะโนะ ในจังหวัดไซตามะ เป็น ศาลเจ้าญี่ปุ่น ที่มีประวัติยาวนานตั้งแต่ปี ค.ศ. 1590 เชื่อว่ามีเทพโอคุมังซามะ ที่ขึ้นชื่อเรื่องโชคลาภ ความมั่งคั่ง และคู่ครอง ภายในมีจุดให้ทำกิจกรรมเสริมดวงหลายอย่าง เช่น วงแหวนเสี่ยงโชค หรือบ่อสมบัติ อีกหนึ่งไฮไลต์ที่ไม่เหมือนใครคือ Health Road ทางเดินกรวดที่เราสามารถเดินเท้าเปล่า เพื่อช่วยกระตุ้นจุดฝ่าเท้า ให้เลือดหมุนเวียนดีขึ้น ลดความเมื่อยล้า นอกจากนั้นทุกวันที่ 3 ธันวาคม ของทุกปี ที่นี่จะมีการจัดงาน เทศกาลคาวาโกเอะโทริโนะอิจิ (Kawagoe Tori-no-Ichi Festival) งานเก่าแก่กว่าร้อยปี มีผู้คนนับหมื่นมาขอพร และชมการแสดงคากุระแบบญี่ปุ่นโบราณ เหมาะมากสำหรับสายมูที่อยากเสริมโชคลาภ การเงิน และสุขภาพไปพร้อมกัน

เวลาทำการ : 09.30 – 17.00 น.
เว็บไซต์ : https://www.kawagoekumano.jp/
แผนที่ : https://maps.app.goo.gl/B4HdTHmTDe3JpjF37


2. ศาลเจ้าคาเนะเฮะบิ ซุย (Kanahebi Sui Shrine) – อิวะนุมะ, มิยางิ

ศาลเจ้าญี่ปุ่น
Credit : visitmiyagi.com

ไปต่อกันที่ ศาลเจ้าคาเนะเฮะบิ ซุย ในจังหวัดมิยางิ หนึ่งในศาลเจ้าที่มีพลังแห่งมังกรและงู ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของเทพเจ้าแห่งสายน้ำและความมั่งคั่งตามความเชื่อของชาวญี่ปุ่น ทำให้ที่นี่โดดเด่นด้านการเงิน และค้าขาย ส่วนจุดที่ห้ามพลาดคือ หินลายงู หินลวดลายธรรมชาติ เชื่อกันว่าหากหินก้อนไหนสะดุดตา ให้หยิบก้อนนั้นมาลูบด้วยมือหรือกระเป๋าเงิน จะช่วยเสริมโชคลาภและเรียกทรัพย์ได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ถ้าได้มาในช่วงต้นเดือนถึงกลางเดือนพฤษภาคม จะเห็นดอกวิสทีเรีย ดอกโบตั๋น และดอกกุหลาบพันปี บานสะพรั่งงดงามอย่าบอกใคร

เว็บไซต์ : https://kanahebi.cdx.jp/
แผนที่ : https://maps.app.goo.gl/CotAeBnmKUt6Cc5y8


3. ศาลเจ้าโคอะมิ (Koami Shrine) – โตเกียว

ศาลเจ้าญี่ปุ่น
Credit : koamijinja.or.jp

พากันเข้าเมืองไปที่ ศาลเจ้าโคอะมิ เป็นศาลเจ้าเก่าแก่ใจกลางโตเกียว ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1466 ตั้งอยู่ในย่านนินเกียวโจ ศาลเจ้าแห่งนี้รอดพ้นจากการถูกทำลายในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างปาฏิหาริย์ จึงกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความโชคดีและการคุ้มครองจากภัยร้าย มีผู้คนแวะเวียนมาขอพรไม่ขาดสายตลอดทั้งปี จุดที่ต้องแวะก่อนใครคือ บ่อน้ำล้างเหรียญ ทางด้านซ้ายของศาลเจ้า เชื่อกันว่าหากนำเหรียญมาล้างในบ่อน้ำนี้ แล้วเก็บไว้ในกระเป๋าสตางค์ จะช่วยเรียกทรัพย์และเสริมดวงด้านการเงิน มากไปกว่านั้นภายในศาลเจ้ายังมีรูปปั้นเทพเจ้าอยู่หลายองค์ เพื่อนๆ สามารถไปไหว้สักการะท่านได้

เวลาทำการ : 09.00 – 17.00 น.
เว็บไซต์ : https://www.koamijinja.or.jp/
แผนที่ : https://maps.app.goo.gl/L4CTkXc6in7u3zNr6


4. ศาลเจ้าคาราสึโมริ (Karasumori Shrine) – โตเกียว

ศาลเจ้าญี่ปุ่น
Credit : jinjamemo.com

ยังคงอยู่ใจกลางเมืองกับ ศาลเจ้าคาราสึโมริ ตั้งอยู่ในย่านชินบาชิ ถือเป็น ศาลเจ้าญี่ปุ่น ที่อยู่คู่ย่านธุรกิจชื่อดังของโตเกียวมานานหลายร้อยปีเลยทีเดียว ภายในศาลเจ้าประดิษฐานเทพเจ้าหลัก 3 องค์ ได้แก่ เทพแห่งพืชผลและความมั่งคั่ง, เทพแห่งโชคลาภและความเจริญรุ่งเรือง สุดท้ายเทพีแห่งศิลปะและการแสดง ทำให้ได้รับความนิยมอย่างมากในวงการบันเทิง รวมถึงคนทำธุรกิจ เพราะเชื่อกันว่าจะช่วยให้ ประสบความสำเร็จ เจริญรุ่งเรือง และมีพลังชีวิตที่ดี อีกหนึ่งสิ่งที่น่าสนใจ ทุกเดือนศาลเจ้าจะออกแบบตราประทับ มักมีลวดลายน่ารักสดใสตามธีม ทำให้ที่นี่กลายเป็นอีกหนึ่งจุดหมายยอดฮิตของคนที่ชอบสะสมตราศาลเจ้าสวยๆ ทั่วญี่ปุ่นนั่นเอง

เวลาทำการ : เปิด 24 ชั่วโมง แต่เวลาจำหน่ายตราประทับคือ 09.00 – 17.00 น.
เว็บไซต์ : https://karasumorijinja.or.jp/
แผนที่ : https://maps.app.goo.gl/1ssxnuPW1SqmDrM48


5. ศาลเจ้าโตเกียวไดจิงกุ (Tokyo Daijingu) – โตเกียว

ศาลเจ้าญี่ปุ่น
Credit : visit-chiyoda.com

ไม่ใกล้ไม่ไกลกันนั้นก็จะเจอ ศาลเจ้าโตเกียวไดจิงกุ ตั้งอยู่ในย่านอิดะบาชิ นิยมมากสำหรับขอพรเรื่องความรัก ทั้งคนโสดและคู่รัก ถือว่าเป็นศาลเจ้าที่มีชื่อเสียงในเรื่องนี้ที่สุดของโตเกียวเลยก็ว่าได้ เพราะเป็นศาลเจ้าแห่งแรกในญี่ปุ่นที่จัดพิธีแต่งงานแบบชินโต ทำให้มีคู่รักจำนวนมากเดินทางมาขอพรให้ความรักสมหวัง หรือชีวิตคู่ราบรื่นกันไม่ขาดสาย ซึ่งในแต่ละปีศาลเจ้าจะจัดเทศกาลใหญ่ประจำปีช่วงเดือนเมษายน บรรยากาศจะคึกคักมาก มีทั้งพิธีสวดมนต์แบบดั้งเดิม การแสดงดนตรีและรำถวายเทพเจ้า รวมถึงร้านขายของที่ระลึกและเครื่องรางนำโชคมากมาย ใครที่กำลังตามหาเนื้อคู่ที่เหมาะสมกับเราอยู่ แนะนำให้มาขอพรที่นี่เลย

เวลาทำการ : 06.00 – 21.00 น.
เว็บไซต์ : https://www.tokyodaijingu.or.jp/
แผนที่ : https://maps.app.goo.gl/qm9eMun9W8SbGKd19


6. ศาลเจ้าดาไซฟุเท็นมังกู (Dazaifu Tenmangu Shrine) – ดาไซฟุ, ฟุกุโอกะ

Credit : cowardlion / shutterstock.com

พาไป เที่ยวญี่ปุ่น ไกลถึง ศาลเจ้าดาไซฟุเท็นมังกู หนึ่งในศาลเจ้าที่สำคัญและใหญ่ที่สุดบนเกาะคิวชู มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 1,100 ปี สร้างขึ้นเพื่อบูชาเทพแห่งการเรียนรู้ ทำให้ที่นี่กลายเป็นจุดหมายยอดนิยมของนักเรียนและนักศึกษาที่มาขอพรให้สอบติด สมหวังในเส้นทางการศึกษาและหน้าที่การงาน โดยในแต่ละปีจะมีการจัดงานเทศกาลมากมาย ช่วงประมาณเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนมีนาคมจะมีงาน เทศกาลดอกบ๊วย (Ume Matsuri) บรรยากาศครึกครื้นไปด้วยร้านค้า อาหารพื้นเมือง และการแสดงพื้นบ้าน นับเป็นช่วงเวลาที่สวยและอบอุ่นที่สุดเลยทีเดียว

เวลาทำการ : 06.30 – 18.30 น. (เวลาอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล)
เว็บไซต์ : https://www.dazaifutenmangu.or.jp/en/
แผนที่ : https://maps.app.goo.gl/6Cns81grWApKvoHP9


7. ศาลเจ้าฟุชิมิ อินาริ (Fushimi Inari Taisha) – เกียวโต

Credit : lkunl / shutterstock.com

พูดถึง ศาลเจ้าญี่ปุ่น สุดฮิตในหมู่นักท่องเที่ยวทั่วโลก คงไม่มีใครไม่รู้จัก ศาลเจ้าฟุชิมิ อินาริ แห่งเมืองเกียวโต ที่ขึ้นชื่อเรื่องเสาโทริอิสีแดงนับพัน เรียงรายเป็นอุโมงค์ยาวสุดลูกหูลูกตา จนกลายเป็นหนึ่งในภาพจำของศาลเจ้าที่ใครเห็นก็ต้องร้องว้าว ที่นี่สร้างขึ้นเพื่อบูชาเทพอินาริ เทพแห่งข้าว การเกษตร ความอุดมสมบูรณ์ และการค้าขายรุ่งเรือง โดยมีสุนัขจิ้งจอก เป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์และผู้ส่งสารของเทพอินาริ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมในศาลเจ้าจะมีรูปปั้นจิ้งจอกอยู่แทบทุกมุม ไฮไลต์อีกอย่างคือ การมาชมแสงแดดยามเช้าและเย็นที่จะส่องผ่านช่องระหว่างเสาโทริอิ เป็นภาพที่สวยงามจับใจ ถ้าใครอยากได้รูปแบบไม่ติดคนอื่นและมีแสงละมุนๆ แนะนำให้มาตั้งแต่เช้าเลยจ้า

เว็บไซต์ : https://inari.jp/
แผนที่ : https://maps.app.goo.gl/aSEaqihYhAUSMFuh7 


8. ศาลเจ้านิกโก้โทโชกู (Nikko Toshogu Shrine) – นิกโกะ, โทจิกิ

Credit : Jon Chica / shutterstock.com

หวังว่าเพื่อนๆ สายมูจะยังไม่เหนื่อย เพราะเราจะไปลุยกันต่อที่ ศาลเจ้านิกโก้โทโชกู หนึ่งในศาลเจ้าที่งดงามและทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ที่สุดของญี่ปุ่น มีแลนด์มาร์กสำคัญเป็นเจดีย์ 5 ชั้นที่ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1650 และมีการสร้างขึ้นใหม่เมื่อปี ค.ศ. 1818 เนื่องจากอุบัติเหตุไฟไหม้ ตั้งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันเงียบสงบของเมืองนิกโกะ ผู้คนมักเดินทางมาขอพรเรื่องโชคลาภ ความสำเร็จ และการเรียนรู้ ความโดดเด่นของที่นี่คือความวิจิตรของงานสถาปัตยกรรม ประดับตกแต่งด้วยทองคำแทบทุกส่วน จนได้รับฉายาว่า ศาลเจ้าทองคำ (Shrine of Gold) รอบๆ ศาลเจ้าจะมีสวนและต้นไม้เก่าแก่ที่เปลี่ยนสีตามฤดูกาล ทำให้ช่วงฤดูใบไม้ผลิจะเห็นดอกโบตั๋นและซากุระบานสะพรั่ง ส่วนฤดูใบไม้ร่วงจะกลายเป็นภาพของใบเมเปิ้ลสีแดงทองปกคลุมทั่วบริเวณ สวยเหมือนภาพวาด จนหลายคนยกให้เป็นหนึ่งในสถานที่ชมใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น

เวลาทำการ :
– เมษายน – ตุลาคม 09.00 – 17.00 น.
– พฤศจิกายน – มีนาคม 09.00 – 16.00 น.
ค่าเข้าชม :  ผู้ใหญ่ และนักเรียนมัธยมปลาย 1,600 เยน / นักเรียนระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาตอนต้น 550 เยน
เว็บไซต์ : https://www.toshogu.jp/
แผนที่ : https://maps.app.goo.gl/TgHE4UnoDVHVip8P8


9. ศาลเจ้านามิโนะอุเอะ (Naminoue Shrine) – โอกินาว่า

Credit : richie0703 / depositphotos.com

ไปไกลถึงเกาะโอกินาว่า เพราะ ศาลเจ้านามิโนะอุเอะ เป็นศาลเจ้าชินโตสุดโด่งดังของเมืองนาฮะ ตั้งอยู่บนหน้าผาสูงริมทะเล มองลงไปเห็นชายหาดสีฟ้าคราม แค่เดินขึ้นไปถึงด้านบนแล้วได้เห็นวิวทะเลแบบพาโนรามาก็รู้สึกเหมือนใจสงบลงทันที ว่ากันว่าในอดีต เรือสินค้าที่จะเข้าออกท่าเรือ มักจะแล่นผ่านใต้หน้าผาแห่งนี้ ทุกลำจะต้องมองไปยังศาลเจ้า จากนั้นกล่าวคำอธิษฐานเพื่อขอให้การเดินทางปลอดภัยและได้กลับมาอย่างราบรื่น ทำให้ที่นี่กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งการคุ้มครองจากท้องทะเลมาจนถึงทุกวันนี้ ทุกปีในช่วงต้นเดือนมกราคมจะมีผู้คนนับหมื่นแวะมาสักการะขอพรปีใหม่ บางคนมาแต่งชุดกิโมโน บางคนมากับครอบครัว เดินขึ้นบันไดศาลเจ้าพร้อมมองทะเลไปด้วย บรรยากาศทั้งอบอุ่นและสดใสสุดๆ

เวลาทำการ : 09.00 – 17.00 น.
เว็บไซต์ : https://naminouegu.jp/
แผนที่ : https://maps.app.goo.gl/pVnCXEfttJwQcGncA


10. ศาลเจ้าสุมิโยชิ ไทฉะ (Sumiyoshi Taisha) – โอซาก้า

Credit : Sean Pavone / shutterstock.com

ถ้าได้มาเที่ยวในโอซาก้า ก็ต้องแวะ ศาลเจ้าสุมิโยชิ ไทฉะ ศาลเจ้าเก่าแก่ที่มีอายุเกือบ 1,800 ปี ตลอดสามวันแรกของปีใหม่ศาลเจ้าแห่งนี้จะคลาคล่ำไปด้วยผู้คนกว่าสองล้านคนที่มาขอพรรับปีใหม่ เชื่อกันว่าการมาขอพรที่นี่จะช่วยปกป้องจากภัยพิบัติ เสริมความปลอดภัยในการเดินทางทางทะเล ตัวศาลเจ้าถูกสร้างด้วยสถาปัตยกรรมแบบดั้งเดิม ส่วนตัวอาคารถูกจัดเรียงให้มีลักษณะคล้ายกองเรือที่กำลังออกทะเล ถือเป็นเอกลักษณ์ที่หาชมได้ยากมาก ทั้งยังมีจุดเด่นอยู่ที่ สะพานโค้งสีแดง (Sorihashi Bridge) ความยาวประมาณ 20 เมตร ถือเป็นจุดชมวิวที่สวยงาม เชื่อกันว่าถ้าได้เดินข้ามสะพานจะเป็นการปัดเป่าสิ่งไม่ดี ออกจากชีวิต นอกจากนี้ยังมีเทศกาลสำคัญอย่าง สุมิโยชิมัตสึริ (The Sumiyoshi Matsuri) ที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกฤดูร้อน เต็มไปด้วยบรรยากาศครึกครื้นและสีสันแบบญี่ปุ่นแท้ๆ เลยล่ะ

เวลาทำการ : 06.00 – 17.00 น.
แผนที่ : https://maps.app.goo.gl/tXAk2YUMMg6X7YnR7


วัดญี่ปุ่น

1. วัดเซ็นโซจิ (Sensoji Temple) – โตเกียว

Credit : john901 / shutterstock.com

ไปต่อกันที่วัดญี่ปุ่นในโตเกียวอย่าง วัดเซ็นโซจิ หรือ วัดอาซากุสะ หรือที่คนไทยมักเรียกกันว่า วัดโคมแดง ตั้งอยู่ในย่านอาซากุสะ เป็นวัดพุทธที่เก่าแก่และฮอตฮิตสุดๆ ในหมู่นักท่องเที่ยว สร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 628 จุดเด่นของวัดคือ ประตูคามินาริ ที่มีโคมแดงยักษ์แขวนอยู่ตรงกลาง ไม่ว่าใครผ่านไปผ่านมาก็ต้องเห็นเด่นเป็นสง่าอยู่ตรงทางเข้า อีกทั้งด้านในยังมีเจดีย์ห้าชั้นที่งดงามอลังการ รวมถึง ถนนนากามิเสะ บริเวณหน้าวัด ที่เต็มไปด้วยร้านขายของฝาก ขนมญี่ปุ่น ให้เลือกช้อปมากมาย รวมถึงนักท่องเที่ยวยังนิยมเช่าชุดกิโมโนมาเดินถ่ายรูปที่นี่ แถมช่วงฤดูใบไม้ผลิจะมีซากุระให้ชมอีกด้วย
แผนที่ : https://maps.app.goo.gl/XFYZZ6hcY6qCYn1x5


2. วัดนาริตะซัง ชินโชจิ (Naritasan Shinshoji Temple) – นาริตะ, ชิบะ

Credit : Peerayut Chan / shutterstock.com

สงบกายสงบใจแล้วไป เที่ยวญี่ปุ่น กันที่ วัดนาริตะซัง ชินโชจิ ตั้งอยู่ใจกลางเมืองนาริตะ วัดพุทธเก่าแก่ที่มีอายุยาวนานกว่าพันปี นับเป็นสถานที่ที่ผู้คนแวะมาสักการะก่อนเดินทาง หรือหลังจากเดินทางมาถึงญี่ปุ่นใหม่ๆ เพื่อเสริมสิริมงคลกันอยู่เสมอ ขึ้นชื่อเรื่องการบูชา “ฟุโดเมียวโอ (Fudo Myoo)” เทพแห่งไฟผู้เผาผลาญสิ่งชั่วร้าย และเป็นสัญลักษณ์ของการคุ้มครองผู้คนให้ปลอดภัยจากภัยอันตรายทั้งปวง ยิ่งช่วงปีใหม่ ผู้คนกว่าล้านคนจะหลั่งไหลมาขอพรที่นี่ ถือเป็นหนึ่งในวัดที่ครึกครื้นที่สุดของภูมิภาคคันโตเลยล่ะ

เวลาทำการ : 06.00 – 17.00 น.
เว็บไซต์ : https://www.naritasan.or.jp/
แผนที่ : https://maps.app.goo.gl/XUzQbeuaX7WKE5TD7


3. วัดคิโยมิซุ (Kiyomizu-dera Temple) – เกียวโต

Credit : Richie Chan / shutterstock.com

ใครที่ได้ไปเกียวโต ลิสต์สถานที่แรกที่ต้องไปเลยก็คือ วัดคิโยมิซุ หรือคนไทยคุ้นกันในชื่อ “วัดน้ำใส” ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 778 ตั้งอยู่บนเนินเขาฮิงาชิยามะ ที่มาของชื่อวัดมาจาก น้ำตกโอโตวะ (Otowa Waterfall) ที่อยู่ภายในวัด โดยเชื่อกันว่าหากดื่มน้ำที่อยู่ด้านล่างของวัดจะช่วยให้สุขภาพดี สมหวังในความรัก และประสบความสำเร็จในการเรียนหรือการงาน อีกหนึ่งจุดเด่นของวัดคือ ระเบียงไม้ยกสูงขนาดใหญ่ที่ยื่นออกมาจากหน้าผา สร้างขึ้นโดยไม่ใช้ตะปูแม้แต่ตัวเดียว จากตรงนี้สามารถมองเห็นวิวเมืองเกียวโตได้กว้างไกล โดยเฉพาะในฤดูใบไม้ผลิที่ซากุระผลิบาน หรือฤดูใบไม้ร่วงที่ใบไม้เปลี่ยนสีเป็นแดงส้มสดใส สวยงามจับใจ เป็นจุดถ่ายรูปที่พลาดไม่ได้เลยแหละ

เวลาทำการ : 06.00 – 18.00 น.
ค่าเข้าชม : 400 เยน
เว็บไซต์ : https://www.kiyomizudera.or.jp/
แผนที่ : https://maps.app.goo.gl/BJWHBPRcN13Xy7JZ7


4. วัดเอคันโด (Eikando Temple) – เกียวโต         

Credit : Anton Fratila’s Images / canva.com

ยังคงอยู่ในเกียวโตกับ วัดเอคันโด หรือชื่อเต็มว่า เซ็นรินจิ (Zenrin-ji) เป็นวัดเก่าแก่กว่า 1,200 ปี มีชื่อเสียงมากในช่วงฤดูใบไม้ร่วง เพราะทั่วบริเวณวัดจะถูกย้อมไปด้วยสีแดง ส้ม ทอง ของใบเมเปิ้ลที่สะท้อนแสงแดดและส่องประกายลงบนสระน้ำกลางวัด สวยจนได้ฉายาว่า “วัดแห่งใบไม้แดง” ของเกียวโตเลยทีเดียว โดยทุกปีตั้งแต่กลางเดือนพฤศจิกายนถึงต้นธันวาคม วัดจะจัดงาน Autumn Illumination เปิดไฟประดับยามค่ำคืนทั่วสวนและรอบสระน้ำโฮโจ (Hojo Pond) กลายเป็นภาพสะท้อนแสงที่โรแมนติกและสงบในเวลาเดียวกัน เหมาะกับการเดินเล่นเงียบๆ หรือมานั่งชมวิว ดื่มด่ำบรรยากาศญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมจริงๆ

เวลาทำการ : 09.00 – 17.00 น.
ค่าเข้าชม : ผู้ใหญ่ 600 เยน / เด็ก (อายุ 6 – 8 ปี) 400 เยน
เว็บไซต์ : https://www.eikando.or.jp/
แผนที่ : https://maps.app.goo.gl/GocEPuJDVeygtroR6


5. วัดโทไดจิ (Todaiji Temple) – นารา

Credit : f11photo / shutterstock.com

ตามมาดูสัญลักษณ์แห่งเมืองนาราที่ใครมาก็ต้องแวะมาเยือนให้ได้สักครั้งกับ วัดโทไดจิ ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 752 ภายในเป็นที่ประดิษฐาน “ไดบุสึ” หรือพระใหญ่แห่งนารา พระพุทธรูปสำริดขนาดยักษ์ที่สูงกว่า 15 เมตร สร้างความตื่นตะลึงให้ผู้มาเยือนตั้งแต่ก้าวแรกที่ได้เห็น ซึ่งทุกเดือนมีนาคมจะมี พิธีโอมิซึโตรี (Omizutori) งานถือศีลและจุดคบเพลิงศักดิ์สิทธิ์ที่จัดต่อเนื่องมานานกว่า 1,200 ปี เป็นเทศกาลเก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่นเลยทีเดียว และด้วยความที่ตัววัดตั้งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติของสวนสาธารณะนารา ทำให้มีฝูงกวางศักดิ์สิทธิ์เดินเล่นไปทั่ว เชื่อกันว่ากวางเหล่านี้เป็นผู้ส่งสารของเทพเจ้า ผู้คนจึงมักซื้อแผ่นเซ็มเบ้หรือข้าวเกรียบมาให้เจ้ากวางได้กินเล่น

เวลาทำการ :
– เมษายน – ตุลาคม 07.30 – 17.30 น.
– พฤศจิกายน – มีนาคม 08.00 – 17.00 น.
ค่าเข้าชม : ผู้ใหญ่ 800 เยน / เด็ก (อายุ 6 – 12 ปี) 400 เยน
แผนที่ : https://maps.app.goo.gl/85z1e8PSYFTJS4jz7


6. วัดชิเทนโนจิ (Shitennoji Temple) – โอซาก้า

Credit : Sanga Park / shutterstock.com

ชาวเมืองโอซาก้ารู้กันดีว่า วัดชิเทนโนจิ เป็นหนึ่งในวัดที่เก่าแก่ที่สุดของญี่ปุ่น และเป็นวัดแรกที่ได้รับการสนับสนุนทางการเงินและการก่อสร้างจากรัฐบาล คนนิยมมาขอพรในเรื่องสุขภาพ และความยั่งยืนของชีวิต จุดที่ต้องแวะไปอันดับแรกเลยคือ เจดีย์ห้าชั้นที่มีความงดงามตามสไตล์ญี่ปุ่นแท้ๆ นักท่องเที่ยวสามารถเดินขึ้นไปด้านบนได้ นอกจากนี้ยังสามารถเดินเล่นชิลๆ ใน สวนโกคุราคุโจโดะ (Gokuraku-jodo Garden) ที่ออกแบบตามแนวคิด “แดนสุขาวดี” ของพระอมิตาภพุทธเจ้า เป็นสวนที่ให้ความรู้สึกสงบ ร่มรื่น เหมาะกับการเดินเล่นพักผ่อนหย่อนใจสุดๆ

เวลาทำการ : 08.30 – 16.30 น. (เดือนเดือนตุลาคมถึงมีนาคมปิด 16.00 น.)
เว็บไซต์ : https://www.shitennoji.or.jp/
แผนที่ : https://maps.app.goo.gl/JXYuJnFKJFfsYzKW9


7. วัดยามาเดระ (Yamadera Temple) – ยามากาตะ

Credit : Sean Pavone / shutterstock.com

เรื่องวัดบนเขา วิวสวยๆ สูงๆ ต้องยกให้ วัดยามาเดระ หรือชื่อเต็มว่า “ริชชะคุจิ” (Risshakuji Temple) เป็นวัดเก่าแก่ที่ตั้งอยู่บนภูเขาทางตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองยามากาตะ ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 860 ถือเป็นหนึ่งในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่มีพลังทางจิตวิญญาณสูงมากของภูมิภาคโทโฮคุ ความน่าทึ่งของวัดอยู่ตรงที่บันไดหินกว่า 1,000 ขั้น ไต่ขึ้นไปตามไหล่เขา ท่ามกลางป่าสนและใบไม้ที่ผลัดสีในฤดูใบไม้ร่วง ช่วงประมาณปลายตุลาคมไปจนถึงต้นพฤศจิกายน โดยนักท่องเที่ยวต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า เหมือนได้เดินทางเข้าไปในอีกโลกหนึ่งที่มีความสงบและงดงามราวภาพวาด

เวลาทำการ :
เมษายน – พฤศจิกายน 08.00 – 16.00 น.
– ธันวาคม – มีนาคม 08.30 – 15.00 น.
ค่าเข้าชม : ผู้ใหญ่ 500 เยน / เด็ก (อายุ 6 – 12 ปี) 200 เยน
แผนที่ : https://maps.app.goo.gl/JbU8W2PGwuq57KFu7


8. วัดโอคุโนอิน (Okunoin Temple) – วาคายามะ

Credit : aschlabach / canva.com

ใครที่ชอบความสงบเงียบต้องมาที่ วัดโอคุโนอิน ตั้งอยู่กลางหุบเขาโคยะ จังหวัดวาคายามะ หนึ่งในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของญี่ปุ่น และเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญของผู้แสวงบุญจากทั่วโลก ทั้งยังเป็นสุสานที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น มีหลุมศพและอนุสรณ์มากกว่า 200,000 แห่ง ตั้งเรียงรายท่ามกลางป่าสนอายุกว่าพันปี ด้วยความที่เป็นสถานที่เงียบสงบและทรงพลัง ทำให้นักท่องเที่ยวมักเดินชมในช่วงเช้าหรือเย็น เพื่อสัมผัสความขลังของหมอกบางๆ ที่ลอยเหนือทางเดินหิน หรือมาทำสมาธิ ค้นหาความสงบภายในจิตใจ เป็นบรรยากาศที่สงบ และน่าเกรงขามในเวลาเดียวกัน

เวลาทำการ : 06.00 -17.00 น.
แผนที่ : https://maps.app.goo.gl/vxfcNk6r13rGjVZY9


9. วัดโคโตคุอิน (Kotoku-in Temple) – คามาคุระ, คานากาวะ

Credit : Richie Chan / shutterstock.com

ที่สุดของความอลังการกับ วัดโคโตคุอิน ตั้งอยู่ในเมืองคามาคุระ จังหวัดคานากาวะ โดยเป็นที่ประดิษฐาน “ไดบุสึแห่งคามาคุระ” หรือพระพุทธรูปทองสัมฤทธิ์องค์ใหญ่ที่เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของญี่ปุ่น มีความสูงกว่า 13 เมตร ตั้งตระหง่านกลางแจ้งมานานกว่า 750 ปี เนื่องจากอาคารที่เคยครอบองค์พระถูกพายุและสึนามิพัดพังเสียหายไปตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 นอกจากจะเป็นจุดถ่ายรูปยอดนิยมสุดคลาสสิกของเมืองคามาคุระแล้ว ยังเป็นสถานที่สงบ เหมาะสำหรับมานั่งพักใจ ท่ามกลางธรรมชาติ แถมยังสามารถชมซากุระในฤดูใบไม้ผลิ และชมใบไม้เปลี่ยนสีในฤดูใบไม้ร่วงได้อีกด้วย

เวลาทำการ :
– เมษายน – กันยายน 08.00 – 17.30 น.
– ตุลาคม – มีนาคม 08.00 – 17.00 น.
ค่าเข้าชม : ผู้ใหญ่ 300 เยน / นักเรียนชั้นประถมศึกษา 150 เยน
เว็บไซต์ : https://www.kotoku-in.jp/
แผนที่ : https://maps.app.goo.gl/YvNsMEPeqQGZDdUJ9


10. วัดเซ็นโคจิ (Zenkoji Temple) – นากาโน่

Credit : Korkusung / shutterstock.com

ปิดท้าย วัดญี่ปุ่น ที่น่าไปสักการะกันที่ วัดเซ็นโคจิ เป็นวัดเก่าแก่ที่มีอายุกว่า 1,400 ปี และถือเป็นหนึ่งในวัดที่สำคัญที่สุดของญี่ปุ่น เพราะเป็นสถานที่ประดิษฐานพระพุทธรูปองค์แรกที่ถูกนำเข้ามาในญี่ปุ่น โดยปัจจุบันมีการเก็บรักษาไว้อย่างดี ไม่ได้เปิดให้ใครเข้าไปสักการะ แต่จะมีเทศกาลใหญ่ Gokaicho ที่จัดขึ้นทุกๆ 6 – 7 ปี เพื่อเปิดให้ประชาชนได้สักการะพระพุทธรูปจำลอง ถือเป็นหนึ่งในพิธีที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของประเทศญี่ปุ่นเลยทีเดียว และอีกหนึ่งไฮไลต์ที่ไม่อยากให้พลาดคือ อุโมงค์มืดใต้พระอุโบสถ ให้เดินสัมผัส “กุญแจแห่งนิพพาน” เชื่อกันว่าหากใครได้สัมผัสกุญแจนี้จะได้รับพร ให้พบแสงสว่างในชีวิตและความสงบในใจ

เวลาทำการ : 09.00 – 16.00 น.
ค่าเข้าชม : ผู้ใหญ่ 600 เยน / นักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย 200 เยน / นักเรียนชั้นประถมศึกษา – มัธยมต้น 50 เยน
เว็บไซต์ : https://www.zenkoji.jp/
แผนที่ : https://maps.app.goo.gl/kNonW7vz6eNsHYs5A

พี่เห็ดลิสต์ วัด และ ศาลเจ้าญี่ปุ่น มาให้แบบจุกๆ 20 สถานที่ จะเห็นได้ว่าญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ผสานความสงบกับความศรัทธาไว้ได้อย่างงดงาม สถานที่แต่ละแห่งไม่เพียงเป็นที่สักการะ แต่ยังสะท้อนจิตวิญญาณและประวัติศาสตร์ของผู้คนในแต่ละยุคได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว


ชอบ บทความ มัชรูมทราเวล ทำไงดี…?
1. กดแชร์ต่อ ให้เพื่อนอ่านบ้าง
2. คลิก Like และ ติดตามเราได้ที่ Facebook www.facebook.com/mushroomtravel/

—————

Mushroom Travel มีโปรแกรม ทัวร์ญี่ปุ่น ให้เลือกมากที่สุด
โทร. 02-105-6234 (30 คู่สาย)
CustomerService@Mushroomtravel.com
Line id : @mushroomtravel

สินค้าที่เกี่ยวข้อง