Mushroom Travel LINE
เราช่วยคุณได้
@mushroomtour
จันทร์ - เสาร์
9:00-22:00
อาทิตย์
9:00-18:00
Call Mushroom Travel
Call Center
02 105 6234
จอง 6 คนขึ้นไป
จอง 6 คนขึ้นไป
02 105 6244
Loading...

นิวซีแลนด์ ..ลุยเดี่ยว เรียน เที่ยว ทำงาน ตอนที่ 5

โพสเมื่อ

Pla Gallery

Guest ของ มัชรูมทราเวล วันนี้เป็น… คุณแม่ลูกสองที่มีลีลาการเล่าเรื่องสนุกและมันมากกก และเนื่องจากเรื่องราวการใช้ชีวิตในนิวซีแลนด์ของเธอนั้น ได้รับผลตอบรับดีมากกกกจากทั้งหมด 4 ตอนที่ผ่านมา เราจึงไม่อยากให้คุณผู้อ่านเสียเวลา มาดูกันดีกว่าค่ะว่าตอนที่ 5 นี้จะสนุกกว่าเดิมขนาดไหน ไปติดตามกันเล้ยยย

นิวซีแลนด์ ..ลุยเดี่ยว เรียน เที่ยว ทำงาน ตอนที่ 5 ..เพื่อนๆ

มาแล้วค่า คราวนี้มาเม้าท์มอยเพื่อนๆ กันบ้าง เพื่อนคนไทยขออนุญาตใช้ตัวอักษรย่อนะคะ เพราะพวกนางมีตัวตนจริงๆแล้วตอนนี้ก็ยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันอยู่ เกรงว่าจะโดนถีบหัวส่ง ส่วนเพื่อนต่างชาติก็ใช้ชื่อจริงไปเลย ยังไงพวกนางก็อ่านไม่รู้เรื่องอยู่แล้ว วะฮ่าฮ่า

เพื่อนๆ ในโรงเรียนภาษาจะมาจากหลายชาติ ต่างภาษา ซึ่งแต่ละชาติก็จะมีอุปนิสัยแตกต่างกันไป ตัวอย่างเช่น เวลากินข้าวนี่จะเห็นได้ชัด คนไทยเราก็จะนั่งกินกันเป็นกลุ่มที่โต๊ะอย่างเรียบร้อย อาจจะมีเสียงดังบ้าง เนื่องจากคนไทย ชอบเม้าท์นั่นเอง ใครได้ข้อมูลอะไรมาก็เอามาแลกเปลี่ยนกัน เม้าท์เกาหลีคนนั้น เม้าท์ญี่ปุ่นคนนี้ สุดท้ายก็ไม่พ้นเม้าท์คนไทยด้วยกันเอง

“นี่ รู้ป่าวไอ้ยูกิ ที่มันอยู่บ้านเดียวกับเราอ่ะ เมื่อคืนมันไม่ได้กลับบ้าน ไม่รู้มันไปไหนของมัน สงสัยติดหญิงชัวร์”

“เออ รู้ยังว่า เจ้าของร้านอาหารไทย ต่อหน้าทำตัวดี๊ดี น่าเคารพ แต่ลับหลังนะสุดยอด โกงค่าแรงเด็ก ชอบกดขี่ข่มเหง อย่าได้ไปทำร้านแกเชียว”

“เออ ไอ้อ้อมมันไปไหนวะ ทำไมไม่มาเรียน สงสัยยังทำการบ้านไม่เสร็จเหมือนเคย มันนี่ขี้เกียจจริงๆ” (คนไทยกันเองก็ไม่ละเว้น)

“ดูไอ้ปอ กับไอ้ปาน สิ คนไทยมีไม่คบ หมั่นไส้จริงๆ คบแต่กับพวกเกาหลี สงสัยจะหลงเสน่ห์หนุ่มเกาหลี” เม้าท์กันเข้าไปข้าวปลาไม่ได้กินหรอก กินน้ำลายแทน ข้าวเหลือทุกวันเพราะมัวแต่เม้าท์

ส่วนคนเกาหลี คนประเทศนี้กินข้าวได้มันมาก เอาข้าวมารวมๆ กันไว้บนโต๊ะเหมือนบุพเฟ่ต์ แล้วก็มายืนล้อมรอบโต๊ะ รอสัญญาณให้คนเปิด หลังจากนั้นก็จะได้ยินเสียงซี๊ดซ๊าด โครมคราม เสียงช้อนกระทบกัน เวลาผ่านไปไม่ถึงห้านาที วงก็แตกเพราะอาหารทุกอย่างหมดเกลี้ยง เหลือแต่เศษอาหารที่อยู่บนโต๊ะ คนพวกนี้ถึงแม้เวลากินจะไม่ค่อยเรียบร้อย แต่พอกินเสร็จเค้าก็จะทำความสะอาดโต๊ะอย่างดี ผู้ชายล้วนหาผ้ามาเช็ดโต๊ะ ช่วยกันคนละมือสองมือ เห็นแล้วอยากจะได้ไว้เป็นพ่อบ้านจริงๆ

พูดถึงหนุ่มเกาหลีแล้วก็ขอเม้าท์ซักนิด ก่อนจะไปนิวซีแลนด์ก็มีโอกาสได้ดูซีรีย์เกาหลีมาบ้าง เห็นพระเอกซีรีย์แต่ละคนนี่แซบๆ ทั้งนั้น อิชั้นก็มโนไปว่าเดี๋ยวที่โรงเรียนก็ต้องมีหนุ่มเกาหลีหล่อๆ แบบนี้มั่งล่ะ

120304655

พอไปถึงที่โรงเรียน มีหนุ่มๆ เกาหลีอยู่ประมาณ 15 คน อยากจะบอกว่าทั้ง 15 คนนี้ มีหน้าตาดูได้ซักคนสองคน แต่ก็ไม่ถึงขนาดเป๊ะ แล้วไอ้ที่หล่อๆ แบบในซีรีย์ไปไหนหมดค๊า มีแต่พี่แว่น หน้าจืดๆ มโนชั้น..สลายไปในพริบตา แต่ถ้าพูดถึงความสามารถทางด้านต่างๆ ต้องยกให้พวกนางจริงๆ ทํากับข้าว ทําขนม ทําสวน ตัดผม ซ่อมคอม ศิลปะป้องกันตัว เก่งหลายด้านจริงๆ

ส่วนคนญี่ปุ่นก็จะออกแนวเรียบร้อย นั่งกินกับพื้น พับเพียบ กินไปหัวเราะไป เอามือป้องปากไปด้วย คริคริ แล้วเค้าก็จะคุยกันเบาๆ ดูแล้วน่ารักคิกขุดี

มาถึงพระเอกของงาน ก็ต้องยกให้พี่จีน… พี่แกจะกินเสียงดังมากกกก เคยไปนั่งกินกับเค้าทีนึง โอ้โห จั๊บ จั๊บ เคี้ยวดังมาก ซักพักซู๊ด เสียงดูดบะหมี่เข้าปาก แล้วกินพร้อมกันหลายๆ คนยังกับวงดนตรี ซู๊ด จั๊บ จั๊บ ซู๊ด เค้าบอกว่าการกินเสียงดังเนี่ยมันบ่งบอกถึงความอร่อย ยิ่งอร่อยยิ่งต้องทำเสียงดังๆ ช่างแตกต่างกับคนไทยจริงๆ ของเราต้องกินให้เงียบที่สุด เวลาเคี้ยวต้องปิดปาก ถึงจะสุภาพ อันนี้ก็จะไปว่าเค้าไม่สุภาพไม่ได้ เพราะว่าถูกอบรมมาคนละแบบ มีครั้งนึงเค้ามาถามว่า อาหารเธอไม่อร่อยเหรอ กินซะเงียบเชียว อร๊ายยย เค้าเรียกมารยาทย่ะ รู้จักไหม

นอกจากการกินแล้ว ก็ยังมีอย่างอื่นอีกมากมายที่แสดงออกถึงความแตกต่างของวัฒนะธรรม และไอ้ความแตกต่างนี่แหละทำให้การเรียนของเราสนุกมากขึ้น อย่างในห้องเรียน ก็จะมีนักเรียนหลายๆ ชาติมารวมกัน ครูจะชอบให้ออกไปพูดแสดงความคิดเห็นหน้าห้องเกี่ยวกับประเทศของตัวเอง มีอยู่ครั้งนึงจำได้ว่าครูให้พูดถึงเหตุการณ์ที่รุนแรงที่เกิดขึ้นในประเทศของคุณ คนญี่ปุ่นเล่าเรื่องภูเขาไฟระเบิด น่ากลัวเลยทีเดียว คิดในใจว่าเป็นบุญของคนไทยแล้วที่บ้านเราไม่มีภูเขาไฟ

คนเกาหลีเล่าเรื่องความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างเกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้ ตอนแรกคิดว่าเค้าแยกกันอยู่เฉยๆ เหมือนเกาะเหนือกับเกาะใต้ของนิวซีแลนด์ แต่จริงแล้วมันมีอะไรมากกว่านั้นเยอะ เราเคยถามมินจังว่ามาจากเกาหลีเหนือรึป่าว มินจังร้องซะดัง no…no South Korea มินจังบอกว่าเป็นไปไม่ได้หรอกที่คนเกาหลีเหนือจะมาเรียนที่นี่ เพราะว่าความยากจน

พอมาถึงตาเรา ก็เลยเล่าเรื่อง 14 ตุลา กับพฤษภาทมิฬ ให้ฟัง ถึงแม้ว่าจะยากมาก ด้วยคำศัพท์และเนื้อเรื่องที่เกี่ยวกับการเมือง แต่ก็พยายามจะอธิบายให้เข้าใจง่ายมากที่สุด เล่าไปเรื่อยๆ พอถึงตอนที่จะต้องเล่าถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของพวกเรานี่แหละ เป็นคนที่ยุติปัญหาที่เกิดขึ้น น้ำตามันก็คลอขึ้นมาเอง ทุกคนในห้องก็อึ้งไป ถามว่าเราเป็นอะไร เราก็บอกว่า เวลาที่พูดถึงพระองค์ท่าน เราก็จะรู้สึกตื้นตันขึ้นมาทุกครั้ง แล้วเราก็สรุปในตอนท้ายว่า “รู้สึกดีใจ และ ภูมิใจมากๆ ที่ได้เกิดมาเป็นคนไทย ได้อยู่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทของพระองค์ นับว่าไม่เสียชาติเกิด” พอเล่าจบก็ได้รับเสียงปรบมือจากเพื่อนในห้อง วันนั้นรู้สึกเหมือนได้ทำอะไรเพื่อชาติยังไงก็ไม่รู้

ความรักก็เป็นอีกเรื่องนึงที่สามารถจะเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา พัฒนาจากความเป็นเพื่อน ไม่ว่าจะเป็นคนชาติเดียวกันหรือคนละชาติ อย่างที่โรงเรียนก็มีตัวอย่างให้ดูหลายคู่ บางคู่ก็ดูน่ารักดี เลิกเรียนแล้วก็จูงมือกันไปเข้าห้องสมุด ทำการบ้าน อ่านหนังสือ แต่บางคู่ก็ทำตัวไม่น่าดู ไม่ยอมมาเรียน ทำตัวเหลวไหล พากันเข้าบ่อน เที่ยวกลางคืน ครูจะต้องไปตามกันถึงบ้าน

อยากจะขอเตือนผู้หญิงด้วยกันนะว่า ยังไงเราก็เป็นผู้หญิง จะเกิดอะไรขึ้นเราก็เป็นฝ่ายที่เสียเปรียบ โดยเฉพาะถ้าคู่ของเราอยู่คนละประเทศ ยังไงก็ต้องจากกันอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นจะทำอะไรก็คิดให้ดีๆ ก่อน มีอยู่คู่หนึ่งผู้หญิงเป็นคนไทย อายุยังไม่ถึง18 ผู้ชายเป็นหนุ่มเกาหลีอายุประมาณ 25 ตอนแรกก็เห็นจีบกันอยู่ดีๆ ไปๆ มาๆ ผู้หญิงก็ย้ายเข้าไปอยู่บ้านผู้ชายซะแล้ว กอดกันหอมกัน เห็นแล้วก็คิดว่าพ่อแม่เค้าจะรู้ไหมเนี่ยว่าส่งลูกสาวมาเรียน แต่ตอนนี้แทบจะไม่ไปเรียนเลย บางทีเค้าอาจจะไม่ได้มีอะไรกันก็ได้ แต่ด้วยนิสัยช่างเม้าท์เผาขนของคนไทย

“โอ๊ย อยู่บ้านเดียวกันแบบนี้ มันจะเหลือเหรอ เสร็จแล้ว ชัวร์”

“ยังเด็กอยู่ อายุแค่นี้ ไม่น่าเลย”

“โห่ พี่ เป็นผม ผมก็ไม่เก็บไว้ดูเล่นหรอก อ่อยซะขนาดนี้”

เป็นไง เสียตัวไปเรียบร้อยแล้วในสายตาของคนอื่น คุ้มไหมเนี่ย อยู่เมืองนอกชีวิตเป็นอิสระก็จริง ไม่มีใครมาคอยจ้ำจี้จ้ำไช อยากทำอะไรก็ได้ทำ แต่เราก็ต้องรักตัวเองให้มากๆ จะทำอะไรก็ให้คิดถึงพ่อแม่ด้วย ท่านยังรอเรากลับไปพร้อมกับความสำเร็จ

พูดถึงคนไทยแล้วก็ขอเม้าท์อีกนิด คนไทยมีอยู่ทุกๆ ที่ จะหลบยังไงก็หลบไม่พ้น โดยเฉพาะในโรงเรียนภาษา ด้วยนิสัยของคนไทยก็จะจับกลุ่มอยู่ด้วยกัน พอเราเข้าไปเป็นเด็กใหม่ก็รู้สึกวางตัวลำบาก อยากจะมาเรียนภาษาแต่ถ้าคบแต่คนไทยคงไปไม่รอดแน่ เลยคบอยู่แค่สองคน นอกนั้นก็จะเป็นคนชาติอื่น ทำให้ไม่ได้เข้าไปสุงสิงกับกลุ่มคนไทยเท่าไหร่ เจอก็ทักกัน ยิ้มให้กันบ้าง แต่ในใจไม่ได้คิดอะไรเลยจริงๆ ก็กลายเป็นโดนเม้าท์ไปว่าหยิ่ง ไม่ยอมคบหากับคนไทยด้วยกัน กลายเป็นยังงั้นไป อันนี้ก็แล้วแต่ความคิดของแต่ละคน ใครจะคิดยังไงก็แล้วแต่เค้า เรารู้ตัวเราเองว่าเราทำอะไรอยู่ ก็น่าจะพอแล้ว

เพื่อนที่จะเจอในโรงเรียนภาษานั้นจะมีมากมายหลายรูปแบบ นิสัยก็จะแตกต่างกันออกไป เมื่อได้เรียนอยู่ในโรงเรียนได้เป็นเวลาระยะนึงแล้ว ก็ไม่แปลกถ้าเราจะมีกลุ่มเพื่อนสนิทที่ไปไหนมาไหนด้วยกัน กินข้าวด้วยกัน ไปผับด้วยกัน การที่เราได้คลุกคลีกับคนหลายชาติก็ทำให้เราได้รู้ถึงความแตกต่างทางด้านความคิด ท่าทาง การแสดงออก แม้กระทั่งการแต่งตัว ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าสนใจ บางสิ่งก็น่ารัก น่าหยิก บางสิ่งก็น่าหมั่นไส้ซะไม่มี เพื่อนที่สนิทในตอนนั้นก็มีอยู่ด้วยกันหลายคน

พี่ตอ เจอกันครั้งแรกไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพี่เค้าเป็นคนไทย หน้าออกแนวเกาหลี ขาว ตี๋ กำลังอินเทรนเลย แต่ไม่โดนใจเลยมองผ่านไป (อย่าโกรธน้องนะ ฮี่ๆ) แล้วมารู้จักพี่ตออย่างเป็นทางการก็ตอนไปเช่ารถ ตอนนั้นกำลังจะไปเที่ยวกันแล้วพี่เค้าจะต้องเป็นคนไปเช่า ก็เริ่มคุยกันบ้างเล็กน้อย แต่ด้วยความที่พี่เค้าไม่ค่อยจะสุงสิงกับกลุ่มคนไทยเท่าไหร่ ก็เลยมีโอกาสได้คุยกับพี่เค้ามากขึ้น เพราะว่าเราก็ไม่สุงสิงกับกลุ่มคนไทยเหมือนกัน เวลากินข้าวก็จะกินโต๊ะเดียวกัน แต่จะมีชาติอื่นมากินด้วย พอนานเข้าคุยกันบ่อยๆ ก็เลยสนิทกัน พี่ตอเป็นหนุ่มวิศวะ อารมณ์ดี รักน้องเบียร์เป็นชีวิตจิตใจ กินได้กินดี พี่แกเรียนอยู่ห้อง TOFLE ตั้งใจว่าจะเรียนต่อโทที่อเมริกา ไม่ว่าแกจะพูดอะไรก็ตลกไปหมด อยู่ด้วยนานๆ ไม่ได้ ขำจนปวดท้อง แต่ความตลกของพี่แกจะแฝงไปด้วยสาระ สิ่งนึงที่ต้องยอมรับในตัวพี่เค้าเลย ความเป็นอัจฉริยะฉลาดเลิศ คำศัพท์อะไร ยากแค่ไหนแกรู้หมด ไวยากรณ์นี่อธิบายได้เป็นฉากๆ (แต่สำเนียงนี่คงแก้ไขไม่ได้แล้ว เกินจะเยียวยา) จนบางทีก็ทําให้เพื่อนต่างชาติเกิดความหมั่นไส้ กลับไปท่องศัพท์กันใหญ่ กะมาแข่งเต็มที่ แต่สุดท้ายพี่ตอก็ชนะเลิศ ปัจจุบันนี้พี่ตอจบปริญญาเอก สาขา วิศวกรรมศาสตร์จากอเมริกา ตอนนี้นางเป็นอาจารย์สอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง

น้องปอ หรือตัวเล็ก เจอปอครั้งแรกที่สนามกอลฟ์ เพื่อนเกาหลีชวนไปบอกว่ามีคนไทยจะแนะนำให้รู้จัก ไอ้เราก็คิดว่าจะไปดีไหมเนี่ย คนไทยอีกแล้ว เอ้าไปก็ไป ปอสาวน้อยอายุ 18 มีความห้าวพอตัว ไม่ชอบสุงสิงกับกลุ่มคนไทย ไปไหนมาไหนชอบไปคนเดียว แถมหัวรุนแรงอีกตะหาก เจอกันแรกๆ ก็ทักทายกันตามปกติ แต่คุยไปคุยมา ด้วยความที่นิสัยคล้ายๆ กันทำให้สนิทกันไปโดยปริยาย ปอเรียนอยู่ห้อง IELTS ตั้งใจว่าจะเรียนต่อปริญญาตรีที่นิวซีแลนด์ ปอเป็นเด็กฉลาดตั้งใจเรียน บางทีช่วยทำการบ้านให้ด้วย (ใจดีจริงๆ น้องร๊ากก) แถมทำกับข้าวเก่งอีกตะหาก เวลาจะไปไหนก็ไปสามพี่น้อง พี่ตอ เรา และน้องปอ จนบางทีสาวๆ ที่เหล่พี่ตอไว้ก็เกิดอาการหมั่นไส้ อีสองคนนี้เกาะไม่ปล่อยเลยนะ แต่เราไม่สน ฮ่าๆๆ ตัวเล็กจบปริญญาโทจาก Canterbury University ที่ Christchurch ตอนนี้ตัวเล็กทํางานให้กับ UN ใช้ชิวิตอยู่กับกะเหรี่ยงบนดอยซะเป็นส่วนใหญ่ เวลาว่างงานนางก็จะออกเที่ยวต่างประเทศ น่าอิจฉามากมาย

พี่ป๊อ สาวออฟฟิศที่อยากจะเปลี่ยนบรรยากาศมาเป็นนักเรียน เลยตัดสินใจมาเรียนภาษาหาประสบการณ์ พี่ป๊อรักการเที่ยวเป็นชีวิตจิตใจ จะไปไหนมีแกไปด้วยนี่อุ่นใจสุดๆ ไม่ต้องกลัวหลง เหมือนมีแผนที่อยู่กับตัว นอกจากในประเทศแล้วแกยังไปเที่ยวต่างประเทศอีกด้วย เดี๋ยวไปประเทศนู้น เดี๋ยวไปประเทศนี้ เนื่องจากบริษัทส่งไปดูงาน แบบว่าบินฟรีอ่ะค่ะ จึงเป็นที่อิจฉาของน้องๆ อย่างยิ่ง เล็งตำแหน่งงานในบริษัทของพี่ป๊อกันตาเป็นมัน พี่ป๊อเป็นผู้ใหญ่ใจดี ดีมากๆ (แต่หน้าตาพี่แกจะออกแนวดุๆ หน่อย) พี่ป๊อจะคอยเป็นห่วงน้องๆ เสมอและที่สำคัญ ชอบพาน้องๆ ไปเลี้ยงข้าว กินฟรี อิอิ ช่างเป็นพี่ที่น่ารักจริงๆ

อูจิ ชื่อเต็มๆ ทากายูกิ อูชิดะ ฟังแล้ว เท่ห์มาก แถมหน้าตาเหมือนอั๊ต อัษฎา เวลาจะเม้าท์ก็เรียกเค้าว่าพี่อั๊ต จะได้ไม่รู้ตัว อิอิ อูจิเป็นหนุ่มญี่ปุ่น แสนจะสุภาพเรียบร้อย เวลากินข้าวก็นั่งกับพื้น เห็นคนชาติเดียวกันไม่ได้ โค้งคำนับอยู่นั่นแหละ เห็นแล้วละอายแก่ใจ เรานี่มันช่างกระโดกกระเดกจริงจริ๊ง แต่การแต่งตัวนี่ไม่โดนใจอย่างแรง การแต่งตัวของอูจิก็ไม่ต่างอะไรกับเด็กช่างกลบ้านเรา เสื้อตัวเล็กๆ กับกางเกงขาเดฟ เวลาเดินขาก็จะถ่างๆ เห็นแล้วเคืองมาก แต่ดีนะที่หล่อเลยพออภัยให้ได้

วันซัพ หนุ่มเกาหลีหน้าซื่อ หน้าตาเด็กเรียนมากๆ ใส่แว่นหนาเตอะ แต่ก็เป็นคนดี มีน้ำใจกับเพื่อนๆ เสมอ วันซัพตระหนักอยู่เสมอว่าที่บ้านนั้นไม่ได้ร่ำรวยอะไร เพราะฉะนั้นจะต้องเรียนให้คุ้มกับเงินที่เสียมา แกก็ตั้งหน้าตั้งตาเรียนจริงๆ ใครชวนไปไหนก็ไม่ไป จะไปแต่ห้องสมุดท่าเดียว ถ้าแกย้ายมานอนในห้องสมุดได้แกคงทำไปแล้ว มีอยู่ครั้งนึงเป็นวันหยุดยาว พอเปิดเรียนมาครูก็ถามว่าไปเที่ยวที่ไหนกันมาบ้าง พอถึงตาวันซัพ วันซัพบอกว่าไปโอมารูครับ (โอมารูเป็นเมืองเล็กที่อยู่ไม่ห่างนักจากเมืองที่เราอยู่ ขับรถไปก็ใช้เวลา เกือบสองชั่วโมง)

ครูถามว่า “ แล้วเธอไปยังไงล่ะ เช่ารถไปเหรอ”

“ขี่จักรยานไปครับ ไปกลับก็ 8 ชั่วโมงกว่าๆ” วันซัพตอบ

พอฟังเสร็จ ทุกคนก็หันมามองวันซัพกันเป็นตาเดียว ไม่รู้ว่าด้วยความทึ่งในความสามารถ หรือว่าความงกกันแน่ สุดยอดจริงๆ ข้าน้อยขอคาราวะ

โลนนี่ (Lorne) ครูสอนภาษาที่โรงเรียน หน้าตาน่ารัก รูปร่างจ้ำม่ำ เห็นทีไรต้องเข้าไปกอดทุกที โลนนี่เป็นครูที่น่ารักมากๆๆเวลาสอนแกก็จะดุๆๆ หน่อยแต่ไม่ค่อยมีใครกลัวแกเท่าไหร่ ฮ่าๆๆ เวลาหลังเลิกเรียน เราก็จะกลายเป็นเพื่อนกัน เดินกอดคอกันไปกินพิซซ่า มีปัญหาอะไรก็ปรึกษาแกได้เลย บางทีก็เขียนลงไปในไดอารี่ แล้วแกก็จะตอบกลับมา บางทีตอบมายาวกว่าที่เราถามไปอีก แกจะมีความเป็นเอเชียสูงมาก เข้าใจวัฒนธรรมของคนเอเชียเป็นอย่างดี เจอเราก็พูดสวัสดีค่า ทุกครั้ง จึงไม่แปลกเลยที่แกจะเป็นที่รักของนักเรียนทุกๆ คน

ต่างคนต่างมาจากวัฒนธรรมและการเติบโตในสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างกัน บางทีเราก็ไม่ชอบในสิ่งที่เค้าทํา บางทีเค้าก็ไม่ชอบในสิ่งที่เราทํา ก็ค่อยๆ เรียนรู้กันไป สิ่งต่างๆ เหล่านี้แหละที่ทําให้ชีวิตการเรียนของเรามีสีสันและสนุกมากขึ้น

เราอยากจะบอกว่า สําหรับคนที่มีโอกาสได้ไปเรียนต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นทุนทรัพย์ส่วนตัว หรือทุนจากที่อื่นก็ตาม อย่ารีบกลัวนู่น กลัวนี่ ชีวิตมันต้องเรียนรู้ไปเรื่อยๆ ปัญหามันต้องมีอยู่แล้ว การแก้อีปัญหาพวกนี้แหละค่ะจะทําให้เราแกร่งขึ้น รักนะจุ๊บๆ

พักสายตามาชมวิวสวยๆ กันดีกว่าค่า

1432031845-1098557810-o

SAMSUNG CSC

1432031934-1114308810-o

SAMSUNG CSC
SAMSUNG CSC

ตอนต่อไป รักแท้แพ้ค่าโทรศัพท์

สมัยตอนเราเป็นสาว การติดต่อสื่อสารทางอินเตอร์เน็ตยังไม่ดีนัก มีแค่การส่งอีเมลแค่นั้น ถ้าจะติดต่อกลับไปหาคนทางบ้าน ก็ต้องใช้โทรศัพท์เท่านั้น บัตรโทรศัพท์ต่างๆ ก็ยังแพงอยู่ เพราะยังงั้นการโทรกลับบ้านแต่ละครั้งจึงใช้เงินค่อนข้างเยอะ

ประสบการณ์มาเต็มแบบนี้ รับเสียงปรบมือจากเราไปเล้ย แปะๆๆ !!

ระดับความสนุก: ✩✩✩✩✩
เครดิต: www.facebook.com/plaifahgallery


ชอบ บทความ มัชรูมทราเวล ทำไงดี…?
1.กดแชร์ต่อ ให้เพื่อนอ่านบ้าง
2. คลิก Like และ ติดตามเราได้ที่ Facebook

www.facebook.com/mushroomtravel/